ห้องเม่าปีกเหล็ก

ปัญหาเกี่ยวกับ ตั๋วบีอี (B/E)

โดย stock-news
เผยแพร่ :
76 views
 
สิบกว่าปีที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องตั๋วบีอี หรือตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange หรือ B/E) วนเวียนมาหลอกหลอนผู้ลงทุน 2-3 รอบ ประเด็นของปัญหาก็คือ ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินในตั๋วหรือผู้ถือตั๋ว ไม่สามารถจ่ายเงินเมื่อตั๋วครบกำหนด พอข่าวคราวแพร่สะพัดออกไป ก็ไปกระทบบริษัทอื่นๆ ที่ต้องการระดมทุนเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน โดยออกตั๋วบีอี เลยต้องขออนุญาตให้ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของตั๋วบีอี ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ทั้งผู้ออกตั๋ว และ ผู้ลงทุนหรือผู้ถือตั๋ว 
 
 
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า  ตั๋วบีอีคืออะไร ตั๋วบีอีเป็นประเภทหนึ่งของตั๋วเงิน ตั๋วเงินมี 3 ประเภท ได้แก่ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน และเช็ค ทั้ง 3 ประเภทมีความเหมือนกันตรงที่มีผู้ออกตั๋วหรือผู้จ่ายเงิน และผู้รับเงินตามที่ระบุในตั๋ว เป็นตราสารที่แสดงความเป็นหนี้ จึงเรียกว่าตราสารหนี้ หรือตราสารการเงิน
 
 
ทำไมเวลามีปัญหาเป็นข่าวคราว จึงปรากฏแต่ปัญหาของตั๋วบีอีหรือตั๋วแลกเงิน เพราะตั๋วแลกเงินเป็นตั๋วเงินที่เปลี่ยนมือได้โดยการสลักหลังตั๋วและสามารถระบุการสลักหลังด้วยข้อความ “ไม่มีสิทธิไล่เบี้ย” ซึ่งหมายความว่าหากตั๋วครบกำหนด ผู้จ่ายไม่สามารถจ่ายเงินให้ผู้รับเงินตามตั๋วหรือผู้ถือตั๋ว ผู้รับเงินตามตั๋วหรือผู้ถือตั๋วต้องไปเร่งรัดเอาจากผู้ออกตั๋วหรือผู้จ่ายเงินตามตั๋ว หากไม่จ่าย ผู้รับเงินหรือผู้ถือตั๋วไม่สามารถไปไล่เบี้ยเอากับผู้สลักหลัง ยกเว้นไม่ระบุข้อความดังกล่าวหลังตั๋ว
 
 
ตั๋วแลกเงินจึงเป็นตราสารที่เปลี่ยนมือได้สะดวก มีความคล่องตัวกว่าตั๋วเงินอีก 2 ประเภท ซึ่งสลักหลังหรือเซ็นชื่อหลังตั๋วหรือเช็คแล้วมีความรับผิดชอบเหมือนผู้ ค้ำประกัน ถ้าผู้ออกตั๋วหรือเช็คไม่จ่ายเงิน เมื่อครบกำหนด ผู้ถือตั๋วสามารถไล่เบี้ย เอากับผู้สลักหลังได้ กิจการที่ต้องการกู้ยืมเงินหรือระดมทุนจึงนิยมออกตั๋วแลกเงินให้ ผู้กู้หรือผู้ลงทุน ผู้ให้กู้อาจขายตั๋วที่ได้รับไปให้ผู้อื่น ผู้ซื้อตั๋วเป็นผู้ถือตั๋วเงินที่มีสิทธิรับเงินโดยตรงจากผู้ออกตั๋วหรือผู้จ่ายเงินตามตั๋ว
 
 
ทำไมจึงนิยมออกตั๋วบีอีไปกู้ยืมเงิน?
 
ตั๋วบีอีแตกต่างจากหุ้นกู้ซึ่งเป็นตราสารหนี้อีกประเภทหนึ่ง หุ้นกู้ส่วนใหญ่จะมีระยะเวลากำหนดชำระเงินระยะยาว นิยมออก 3 ถึง 5 ปี การออกหุ้นกู้ขายให้ประชาชนหรือ นักลงทุนต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) ของหุ้นกู้ โดยทั่วไปจะยึดถือว่าหุ้นกู้ ที่น่าจะลงทุนได้ควรมีระดับความน่าเชื่อถืออย่างน้อย BBB
 
 
การออกตั๋วบีอีส่วนใหญ่มีระยะเวลาครบกำหนดระยะสั้น ไม่เกิน 270 วัน เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่าถ้าออกตั๋วขายให้ ประชาชนทั่วไปต้องไม่เกิน 270 วัน แต่ไม่ต้อง จัดอันดับความน่าเชื่อถือ เลยเป็นประเด็นที่ที่ปรึกษาการเงินใช้เป็นช่องทางแนะนำบริษัทต่างๆ ให้กู้เงินโดยออกตั๋วบีอี เพราะการจัดอันดับความน่าเชื่อถือมีค่าใช้จ่ายสูง และใช้ระยะเวลาซึ่งไม่คล่องตัว ผู้ลงทุน จึงไม่สามารถทราบได้ว่าตั๋วที่ออกมีความ น่าเชื่อถือในความสามารถชำระหนี้ที่ระดับไหน
 
 
บางกรณีที่ปรึกษาการเงินเองก็ไม่มีความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์เพื่อกำหนดระดับความน่าเชื่อถือ นักลงทุน จึงไม่รู้ว่าความเสี่ยงอยู่ที่ระดับไหน ที่ตัดสินใจลงทุนเพราะเชื่อในความเห็นของที่ปรึกษาการเงิน และชื่อผู้ออกตั๋วที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ที่สำคัญน่าลงทุนเพราะผลตอบแทนดีกว่าไปฝากเงิน
 
 
อีกสาเหตุหนึ่งที่บริษัทจดทะเบียนนิยมออกตั๋วบีอีไปกู้ยืมเงินระยะสั้น เนื่องมาจาก เป็นช่องทางทำมาหากินของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) รายได้หลัก ของ บลจ. มาจากค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุน ยิ่งมีกองทุนจำนวนมากหรือ ขนาดยิ่งใหญ่มาให้บริหาร รายได้ก็จะยิ่งมาก จึงนิยมตั้งกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋ว บีอีเป็นการเฉพาะ บลจ. จะสรรหาบริษัทที่ ตนเห็นว่ามีความน่าเชื่อถือให้ออกตั๋วบีอี ขายให้กองทุน ขณะเดียวกันก็ให้เจ้าหน้าที่การตลาดวิ่งหาผู้มีเงินออมระดับสูงมา ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนนี้เพื่อให้ กองทุนมีเงินไปซื้อ หรือลงทุนในตั๋วบีอี โอกาสที่เกิดธุรกิจมาจากเรื่องราวของต้นทุนการเงินและผลตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยและภาษี
 
 
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ เงินฝาก 270 วันได้รับ ผลตอบแทนไม่เกิน 2.0% ต่อปี หักภาษีไป 15% เหลือรับไม่เกิน 1.7% การลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตั๋วบีอีอาจได้รับถึง 2.5-3.0% ต่อปีโดยไม่ถูกหักภาษี ผู้ออกตั๋วบีอี ขายให้หรือกู้จากกองทุนอาจจ่ายอัตราดอกเบี้ย 3.0-3.5% ต่อปีซึ่งถูกกว่ากู้จากธนาคารซึ่งอาจจะต้องจ่าย 4.0-5.0% ต่อปี
 
สรุปแล้วทุกฝ่ายได้ประโยชน์ บลจ.ได้ค่าธรรมเนียมบริหารกองทุน ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนดีกว่าฝากธนาคาร ผู้ออกตั๋วกู้เงินได้ต้นทุนต่ำกว่ากู้จากธนาคาร นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจนี้แพร่หลาย
 
 
ความเสี่ยงของการลงทุนในตั๋วบีอี
 
ความเสี่ยงหลักของการลงทุนในตั๋วบีอี หรือลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในตั๋วบีอีคือ ผู้ออกตั๋วไม่สามารถชำระหนี้บางส่วนหรือทั้งหมดเมื่อตั๋วครบกำหนด สาเหตุของความเสี่ยงมีหลาย ประเด็น กล่าวคือ
 
(1) อาจเกิดมาจากเจ้าหน้าที่ บลจ. ขาดความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการวิเคราะห์โอกาสหรือความสามารถชำระหนี้ของผู้ออกตั๋ว คำนึงแต่เรื่องรายได้ที่มีโอกาสได้รับจากธุรกรรมประเภทนี้
 
(2) มาจากผู้ลงทุนที่ขาดความรู้ความเข้าใจความเสี่ยง คำนึงถึงแต่ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคารและเชื่อในคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ บลจ.
 
(3) มาจากผู้ออกตั๋วที่มองเพียงโอกาสได้กู้ยืมเงินที่ต้นทุนต่ำโดยไม่คำนึงถึงโอกาสหรือความสามารถชำระหนี้ เมื่อตั๋วครบกำหนดและ ผู้ลงทุนไม่ต้องการลงทุนต่อ
ทั้งนี้ผู้ออกตั๋วไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบของชื่อเสียงที่ตามมา ที่เลวร้ายคือส่งผล กระทบความน่าเชื่อถือโดยรวม เจ้าหนี้อื่นอาจเรียกเงิน คืนหรือระงับการใช้วงเงินกู้ ทำให้ขาดสภาพคล่อง ธุรกิจอาจล้มเหลว ราคาหุ้นตก กระทบผู้ลงทุนอื่นๆ ในวงกว้าง รวมถึงมีผลต่อบริษัทอื่นๆ ที่กู้เงินโดยออกตั๋วบีอี ทำให้ออกตั๋วกู้เงินได้ยากขึ้น ต้นทุนอาจสูงขึ้น
 
 
นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นผู้มีเงินออมในธนาคาร การย้ายเงินมาลงทุนในตั๋วบีอีนั้น พวกเขามักไม่มีความรู้ความเข้าใจข้อมูล และสถานะผู้ออกตั๋วดีพอ เมื่อใดก็ตามที่มีผู้ออกตั๋วรายใดผิดนัดชำระหนี้และเป็นข่าว ส่วนใหญ่จะขยาดไม่กล้าลงทุนเพราะคำว่าตั๋วบีอี โดยไม่สนใจว่าใครคือผู้ออก
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายรอบแล้วในอดีต นี่คือประเด็นสำคัญที่ผู้ออกตั๋วต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนกู้เงินด้วยช่องทางนี้
 
 
บลจ. ต้องรับผิดชอบใช้หนี้แทนไหม?
 
มีผู้ลงทุนในตั๋วบีอีที่เกิดปัญหาถามผมว่า บลจ. ที่บริหารกองทุนที่ตนไปซื้อหน่วยลงทุนไว้ มีธนาคารถือหุ้นไหม เป็นการถามโดยคาดหวังว่าผู้ที่จะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินคือ บลจ.
 
ผู้ลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่าเจ้าหนี้ของผู้ออกตั๋วคือ กองทุน ลูกหนี้ของกองทุนคือ ผู้ออกตั๋ว บลจ. เป็นเพียงผู้บริหารกองทุนให้ผู้ถือหน่วย ไม่ต้องรับผิดชอบใช้หนี้แทน แต่ต้องรับผิดชอบติดตามหนี้ซึ่งอาจถึงขั้นต้องฟ้องร้องดำเนินคดีบังคับให้ชำระหนี้ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ผู้ลงทุนก็ต้องถือหน่วยรอจนกว่าผู้ออกตั๋วจะนำเงินมาชำระหนี้ให้กองทุน ถ้าไม่สามารถชำระหนี้ได้ ในที่สุดจะกลายเป็นหนี้สูญ ผู้ถือหน่วยลงทุนหรือผู้ที่ลงทุนในตั๋วบีอีก็สูญเสียเงินลงทุนตามไปด้วย
 
 
เกี่ยวข้องกับบรรษัทภิบาลอย่างไร?
 
โดยทั่วไปบริษัทจะไปกู้ยืมใครด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนจากข้อมูลและความเห็นของฝ่ายบริหารที่เสนอเรื่องราวการขอกู้ยืมเงินให้ชัดเจนว่าแม้จะได้ต้นทุนต่ำ แต่หากตั๋วครบกำหนดแล้วผู้ลงทุนไม่ลงทุนต่อมีแหล่งเงินจากที่ใดไปใช้คืน โดยเฉพาะการกู้โดยออกตั๋วบีอีส่วนใหญ่มีขนาดเป็นร้อยล้านขึ้นไป ไม่ค่อยเรียกหลักประกันเป็นทรัพย์สิน เพื่อนำไปจำนองหรือจำนำเป็นประกัน เพราะไม่คล่องตัวและมีค่าใช้จ่าย
 
 
การชำระหนี้คืนจะชำระทั้งจำนวน คณะกรรมการต้องพิจารณาถึงแหล่งชำระคืน คำนึงถึงความสามารถในการหาหรือมี แหล่งระดมทุนอื่นไปชำระหนี้ (Refinancing Ability) การบริหารจัดการในประเด็นนี้ ส่วนใหญ่มีวงเงินกู้ยืมจากธนาคารสำรองไว้ หรือหากมีไม่เพียงพอต้องพยายามขอวงเงินสำรองไว้ ถ้าเครดิตดีพอโดยยอมเสียค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ (Commitment Fee) เพื่อให้เป็นวงเงินผูกพันธนาคาร ให้เป็นวงเงินประเภทที่ธนาคารต้องให้เบิกเงินกู้ได้เมื่อต้องการเบิกใช้เงิน (Committed Line) หรือมีแหล่งเงินสำรองอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสและต้นทุนแหล่งไหนจะคุ้มค่ากว่า
 
 
บทเรียน บลจ.
 
เห็นใจ บลจ. ที่ดิ้นรนต้องหารายได้ แต่ต้องคำนึงเรื่องความเสี่ยงและผลกระทบที่จะตามมา เพราะเมื่อตั๋วบีอีมีปัญหา นอกจากนักลงทุนจะขยาดต่อตราสาร บีอีโดยไม่สนใจใครเป็นผู้ออกตั๋ว นักลงทุนยังจะขาดความน่าเชื่อถือ บลจ. ผู้บริหารกองทุนทำให้ขยายกองทุนประเภทอื่นๆ ได้ยากขึ้น กระทบการหารายได้
 

- See more at: http://www.moneychannel.co.th/news_detail/15367/#sthash.G4sKuH5c.dpuf


stock-news