นักเศรษฐศาสตร์ชี้ กนง.มีช่อง ‘ลดดอกเบี้ย‘ หลังเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อต่ำ-หนี้ลด
“นักเศรษฐศาสตร์” ไม่ปิดประตู กนง. “ลดดอกเบี้ย” ด้าน “ซีไอเอ็มบีไทย” ฟันธง “ลดดอกเบี้ย” รอบนี้ หลังเศรษฐกิจชะลอกว่าคาด หนี้ครัวเรือนลด แบงก์เข้มปล่อยกู้ “แบงก์กรุงเทพ” ชี้หากผลกระทบแรงกว่าคาดอาจเห็นกนง. ลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้ง “เคเคพี” ชี้รอนโยบายทรัมป์ชัดเจนเม.ย. นี้

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีรูมในการ “ลดอัตราดอกเบี้ย” ได้ ทั้งดูจากปัจจุบันที่ “เงินเฟ้อ” อยู่ระดับที่เหมาะสม และไม่ใช่ปัญหา และอยู่ในทิศทางขาล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อด้วย
ขณะที่ เศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 2.9% ปี 2568 ซึ่งมองว่าอาจทำได้ต่ำกว่าที่เมินไว้ เพราะว่า “จีดีพี” ไม่ได้สูงเหมือนที่คิดไว้
ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ก็เอื้อต่อการลดดอกเบี้ยได้ และหากดูอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง หรือ Neutral Real Interest Rate มองว่าระดับเหมาะสมอยู่ที่ 2-2.50% ดังนั้น มองว่าอัตราดอกเบี้ยมีรูมให้สามารถลดลงได้อีก
ทั้งนี้ มองว่าจังหวะเหมาะสมคือ หลังวันที่ 1 เม.ย. 2568 ที่จะเห็นได้ชัดเจนว่า “นโยบายทรัมป์” จะเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยมี “ความเสี่ยงสูง” ในการเป็นหนึ่งในเป้าหมายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” หากมีการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น
หากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าไทยอาจเห็นลดดอกเบี้ยมากกว่า1ครั้ง
ดังนั้น เชื่อว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การพิจารณาดอกเบี้ยก็ต้องให้ กนง. ตัดสินใจ จะลงตอนที่มีความชัดเจนจากทรัมป์ หรือจะลดตอนนโยบายทรัมป์ชัดเจนก่อน ซึ่งก็ต้องติดตาม
หากศก.อ่อนแอ มีโอกาส “ลดดอกเบี้ย” มากกว่า 1 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ หากเศรษฐกิจจอ่อนแอลง หรือหากผ่านไป 5-6 เดือน เศรษฐกิจโลกแย่กว่าที่คาด และโอกาสการทะเลาะกันระหว่างประเทศ สงครามการค้าไม่จบสิ้น ดังนั้น มองว่าขณะนี้ยังมีความไม่ชัดเจนค่อนข้างมาก ซึ่งมองว่าโอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งครั้งได้
“วันนี้การตัดสินใจขของกนง. ก็ต้องดูว่าอยากลง หรือเก็บกระสุนไว้ตอนนโยบายทรัมป์ชัดเจนก่อน แต่หากไทยโดนภาษีจากทรัมป์ด้วย โอกาสเห็นการลงดอกเบี้ยหลายครั้งก็เกิดขึ้นได้ และมองว่าการลดดอกเบี้ยหลายครั้งติดต่อกันก็ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะการลงต่อเนื่องจะสร้างความเชื่อมั่นได้ ดังนั้น หากถามว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ มองว่ามีรูมให้ลดอยู่แล้ว และเดือนเม.ย.นี้ จะเป็นคีย์สำคัญ”
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) กล่าวว่า หากดูรายงานของกนง. ที่ออกมาล่าสุด สะท้อนว่ากนง. อยากเก็บกระสุน หรือ Policy Space เอาไว้ เพราะขณะนี้ความเสี่ยงหลักคือ ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทรัมป์ว่าผลกระทบจะมีต่อประเทศไทยอย่างไร
แม้มองว่า โอกาสในการ “ลดดอกเบี้ย” มีจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้ากว่าคาด “เงินเฟ้อ” อยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อ “ติดลบ” ขณะที่ “หนี้เสีย” อยู่ระดับสูง และ “เงินบาท” ที่อยู่ในทิศทางที่แข็งค่า ดังนั้น โอกาส “ลดดอกเบี้ย” มีแต่ต้องดูไทม์มิ่งที่เหมาะสม
โอกาส “ลดดอกเบี้ย” เดือนเม.ย.
แต่จากการคาดการณ์ของ เคเคพี มองว่าโอกาสที่จะเห็นกนง.ลดดอกเบี้ย น่าจะเป็นช่วงเม.ย. หรือไตรมาส 2 ปี2568 และอาจเห็นการประชุมกนง.ครั้งนี้ มีการส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับโอกาสในการลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า
“การประชุมของกนง.2 ครั้งที่ผ่านมา มักพูดถึง ดอกเบี้ยที่เป็นกลางหรือระดับนิวทัล แต่รอบการประชุมที่ผ่านมา มีการเน้นย้ำกับการรักษา Policy Space และจับตาพิเศษคือเรื่องทรัมป์ดังนั้นมองว่ายังไม่สุกงอมพอที่จะทริกเกอร์กระสุนเม็ดนี้ออกมาใช้ได้”
อย่างไรก็ตามหากดูดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันมองว่าสูงกว่าเงินเฟ้อพอสมควร ดังนั้นมองว่าดอกเบี้ยภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ควรสูงเกินไป เพราะหากดอกเบี้ยสูงอาจกระทบต่อการบริโภค การลงทุนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ภาคเอกชนก็จะระมัดระวังการลงทุนและการบริโภคมากขึ้น แต่ทั้งนี้ มองว่าการ “ลดดอกเบี้ย” ก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ หรือสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น
“ซีไอเอ็มบี ไทย” ฟันธง กนง. “ลดดอกเบี้ย”
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ขณะนี้ภาพเศรษฐกิจโดยรวม ยังคงมี “ความเสี่ยง” และยังมีดาวน์ไซส์ริสที่จะเป็นความเสี่ยงขาลงได้มากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ “สินเชื่อ” ถือว่าเติบโตต่ำและ “ติดลบ” ต่อเนื่องในรอบหลายสิบปี
รวมถึงปัจจัยเรื่องของทรัมป์ ที่จะยังมีความไม่แน่นอนสูงต่อประเทศไทยและประเทศอื่นๆ มากขึ้น และจะเห็นต่อเนื่องหลังจากนี้
ดังนั้น มองว่าการประชุมของกนง. ครั้งนี้ กนง. น่าจะ “ลดดอกเบี้ยนโยบาย” ลงได้ มาจาก 3 ตัวแปรข้างต้น ทั้งจากเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าที่คาด ดาวน์ไซส์ริสสูงขึ้นจากนโยบายทรัมป์ และสินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หากดู “หนี้ครัวเรือน” ในปัจจุบัน มีแนวโน้มลดลง
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กนง. พิจารณาจากเสาทั้งสามต้น ทั้งด้านเสถียรภาพการเงิน เศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ดังนั้น มองหนี้ครัวเรือนจะเป็นโจทย์สำคัญ ระวังการลดดอกเบี้ย เพราะช่วงสั้น แม้จะช่วยเศรษฐกิจได้ แต่ระยะยาวการลดดอกเบี้ยอาจสนับสนุนให้เกิดการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ภายใต้ที่ธนาคาร (แบงก์) ระมัดระวังความเสี่ยงค่อนข้างมากในการปล่อยสินเชื่อ อาจทำให้กนง. สบายใจ หรือผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวได้บ้าง
ดังนั้น มองว่ามองโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยครั้งนี้ คงไม่ใช่ทิศทางของดอกเบี้ยขาลง เช่นเดียวกับที่กนง. ย้ำมาโดยตลอด แต่การปรับดอกเบี้ยมาจาก การปรับสมดุลจากทิศทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาด กนง. “คงดอกเบี้ย”
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิน ในการประชุมกนง. วันที่ 26 ก.พ. 2568 นี้ คาดกนง. มีแนวโน้ม “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ที่ระดับ 2.25% ต่อเนื่อง
โดยกนง. มีแนวโน้มรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความเสี่ยง” จากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ
ขณะที่โมเมนตัมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้คาดว่าจะยังขยายตัวได้ใกล้เคียงกับระดับอัตราการขยายตัวในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่อยู่ที่ 3.2% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งส่งออก และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองปี 2568 มีความเป็นไปได้ที่กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้ง โดยกนง. คงให้น้ำหนักความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศเป็นสำคัญ
ส่วนทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั่วโลกที่ล่าช้าออกไปตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กนง. นำมาพิจารณาจังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของไทย
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นโดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยการส่งออกของไทยปี 2568 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้ารอบใหม่
ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัว
ดังนั้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่มีโมเมนตัมชะลอลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือนได้จำกัดและในระยะสั้นเท่านั้น
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1168044