ห้องเม่าปีกเหล็ก

วันนี้ไม่เหมือน 20 ปีที่แล้ว ตั้งสติก่อนตระหนก

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
84 views

วันนี้ไม่เหมือน 20 ปีที่แล้ว ตั้งสติก่อนตระหนก
3 กันยายน 2561 / 13.48 น.

โดย Wattana Stock Page

ระยะนี้เริ่มเห็นนักลงทุนหลายคนเริ่มออกมากังวลเรื่องภาวะวิกฤตทางการเงินที่อาจจะลามเป็น domino effect มาจนถึงประเทศไทยในที่สุด ซึ่งบางทีเมื่อเข้าไปอ่านแล้ว ปรากฏว่า ไม่มีสาระในทางวิชาการใดๆที่จะสนับสนุนเลยว่า เหตุใดจึงเชื่อว่า วิกฤตดังกล่าวจะต้องลามมาถึงไทย

ส่วนใหญ่ความกังวลจะมีแค่ว่า ตอนนี้เริ่มที่ตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซุเอล่า ลามาถึงค่าเงินรูปีของอินเดียที่อ่อนค่าอย่างหนัก และใกล้เข้ามาถึงค่าเงินรูเปียะห์ของอินโดนีเซียที่อ่อนค่ามากสุดเทียบเท่ากับตอนวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

มีแค่นี้จริงๆ แล้วก็มาสรุปว่า ท้ายที่สุดมันจะลามมาถึงไทย และไทยจะมีชะตาเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน!!!

จริงๆการคาดเดาลักษณะนี้ ใครจะคิดก็คิดได้ แต่การจะสื่อผ่านช่องทางที่เป็นสาธารณะนั้น มีแต่จะสร้างความวิตกกังวลให้แผ่วงกว้างออกไปได้และไม่ได้เป็นผลดีเลย ดังนั้น การเขียนในสิ่งที่มีความอ่อนไหวเช่นนี้ ควรจะมีเหตุผลมาสนับสนุนอย่างแน่นหนักว่า ทำไมจึงคิดเช่นนั้น จนพาลให้คิดว่า คนที่กังวลจนเที่ยวออกมากระพือความกังวลดังกล่าว มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์มากน้อยเพียงใด และมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิกฤตทางการเงินเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศไทยมากน้อยเพียงใด

สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ได้จากตัวเลขทางสถิติต่างๆก็คือ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยในวันนี้ แตกต่างอย่างมากจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แตกต่างจนชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้ามีใครต้องการเข้ามาโจมตีค่าเงิน เงินบาทจะไม่ใช่สกุลเงินที่เป็นเป้าหมายแรกๆเป็นอันขาด

วิกฤต "ต้มยำกุ้ง" ในปี 1997 นั้น หลักๆแล้วมีที่มาหลักๆมาจาก การ mismatch กันของเงินกู้และเงินลงทุน

ดอกเบี้ยในไทย ณ เวลานั้น สูงมาก อีกทั้งตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ล้วนดึงดูดให้เงินต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา แต่ก็ไม่เพียงพอในสายตาของภาครัฐ

ไทยใช้งบประมาณขาดดุล อีกทั้งตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดก็ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาคการส่งออกจะเติบโตถึงขีดสุด

การเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับเฉลีย 9.5% ต่อปี นับว่าสูงมาก แม้ว่าการลงทุนภาครัฐจะไม่สูง แต่ในภาคเอกชนนั้นฉุดไม่อยู่จริงๆ จนไทยอยู่ในภาวะที่ "ขาดเงินทุน"

รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ในเวลานั้น ได้แก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุน ด้วยการอนุญาตให้ภาคการเงินทำธุรกรรมที่เรียกว่า BIBF คือการกู้เงินจากต่างชาติซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า เพื่อนำมาปล่อยให้ธุรกิจในไทยกู้ยืม เพื่อนำไปลงทุน โดยมีความเชื่อมั่นเกินไปว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ และภาคธุรกิจจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนทึ่สูง และสามารถชำระคืนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำได้

แน่นอนว่า การเปิดให้มีธุรกรรม BIBF ทำให้มีการกู้เงินจากต่างชาติในปริมาณที่สูงมาก โดย ณ เวลานั้น หนี้ต่างประเทศของไทยสูงถึง 1.1 แสนล้าน USD โดยมากกว่า 60% เป็นหนี้ระยะสั้น ในขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยมีเพียง 3.8 หมื่นล้าน USD เท่านั้น

ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นอะไรที่ boom มากในเวลานั้น เศรษฐกิจที่เติบโตมาก ทำให้คนไทยมีเงิน และความต้องการที่อยู่อาศัยจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ผู้ประกอบการเกิดขึ้นมากมาย และเร่งเปิดโครงการสาเหตุจากราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยล้วนพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย ทุกคนล้วนอยากกอบโกยจากภาวะดังกล่าว จนทำให้ราคาถูกดันสูงขึ้นไปจนเกิดภาวะฟองสบู่ อีกทั้งจำนวนโครงการที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ทำให้โครงการหลายแห่งเกิดภาวะที่เรียกว่า "ขายไม่ออก"

โดยทั่วไป โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆต้องใช้เวลาก่อสร้าง และกว่าจะขายได้ก็ใช้เวลาหลายปีอยู่แล้ว และยิ่งถ้าอยู่ในสภาวะที่ supply ล้น ก็ยิ่งทำให้ขายได้ยากขึ้นไปอีก

น่าอนาถว่า เงินที่นำมาลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ก็กู้มาจากธนาคาร ซึ่งมีที่มาจาก BIBF ซึ่งส่วนใหญ๋เป็นเงินกู้ "ระยะสั้น"

ปัญหาจึงเริ่มเกิดขึ้น เมื่อผู้ประกอบการเริ่มที่จะ ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ การ mismatch ของเงินทุนที่ใช้เงินกู้ระยะสั้นไปลงทุนในโครงการที่คืนทุนในระยะที่ยาวกว่า และยิ่งมาเจอการขายที่ล่าช้ายิ่งทำให้ปัญหาหนักหน่วงขึ้นไปอีก

เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่มีปัญญาคืนหนี้ให้สถาบันการเงิน ปัญหา NPL จึงตามมา และนั่นก็แสดงว่า ปัญหาที่มีจุดเริ่มต้นที่ภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ได้ลามไปถึงภาคการเงินในที่สุด

นักเก็งกำไรต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า hedge fund ได้มองเห็นปัญหาที่เริ่มเกิดขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจไทยในเวลานั้น และมีความเชื่อว่า ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยจะทำให้รัฐบาลไทย ต้องลดค่าเงินบาทอีกครั้งหนึ่ง และจากตัวเลขต่างๆที่เป็นใจให้ hedge fund เหล่านี้มองว่า โอกาสโจมตีค่าเงินบาทเพื่อทำกำไรได้นั้นมีสูงมาก จึงเริ่มดำเนินการโดยทันที

เงินลงทุนของต่างชาติมีสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับ GDP ในเวลานั้น และเงินกู้ต่างชาติก็สูงมากเมื่อเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ประกอบกับไม่มีแนวโน้มอะไรที่ดีขึ้นเลย ภาครัฐยังคงทำงบประมาณขาดดุล อีกทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยก็ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง

ไทยยังคงตรึงค่าเงินบาทอยู่ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยไม่ตัดสินใจลดค่าเงิน ในขณะที่การโจมตีค่าเงินบาทจากกลุ่ม hedge fund เริ่มขึ้นแล้ว เห็นได้จากตัวเลขค่าเงินบาทที่ซื้อขายกันที่ต่างประเทศ (offshore rate) นั้นอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด

แบงก์ชาติเลือกที่จะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเข้าแทรกแซงค่าเงิน โดยขายดอลลาร์เพื่อซื้อเงินบาท แต่ด้วยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีน้อย ทำให้แบงก์ชาติ "แพ้อย่างราบคาบ"

จะบอกว่าน้อย มันก็ไม่ได้เรียกว่าน้อย แต่มันน้อยเมื่อเทียบกับเงินต่างชาติที่กองอยู่ในประเทศไทย ที่พร้อมเสมอที่จะไหลออกไปเมื่อภาวะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป

ปัญหาภายในจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลามไปยังภาคการเงิน พร้อมกับการโจมตีค่าเงินของเหล่า hedge fund ท้ายที่สุด ภาคอสังหาริมทร้พย์พังครืน โครงการขายไม่ออก ไม่สามารถคืนเงินกู้ได้

ภาคธนาคารมี NPL เกิดขึ้นอย่างมากมาย

เงินทุนเริ่มไหลออกเพราะปัญหาในประเทศเริ่มเด่นชัดขึ้น และแน่นอนว่า เงินสำรองเราไม่พอที่จะต้านทานกระแสเงินที่ไหลออกได้

ภาครัฐตัดสินใจประกาศ "ลอยตัวค่าเงินบาท" และทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไปมากกว่า 50 บาทต่อดอลลาร์ ทีนี้ก็เละเทะกันไปหมดแล้ว

เพราะภาคธุรกิจในเวลานั้น ส่วนใหญ่หลงระเริงกับการกู้เงินจากต่างประเทศที่มีดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ จากที่เคยมีหนี้สินเท่าไหร่ ก็ต้องเพิ่มพูนเป็น 2 เท่าตัวในแค่ชั่วข้ามคืน

และนั่นคือทั้งหมดของวิกฤตที่เริ่มขึ้นในประเทศไทย และลามต่อไปยังประเทศอื่นๆในเอเชีย เพราะจะว่าไปพื้นฐานต่างๆก็แทบไม่ได้ต่างกันมากนัก เพียงแต่ไทยเรามีความเปราะบางมากที่สุดในเวลานั้น

ท้ายที่สุด เราต้องขอเงินกู้ IMF และยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆของ IMF ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มองว่า เราไปทำสัญญาทาสกับ IMF แต่ทำอย่างไรได้ ถ้าไม่ทำ ก็ล้มละลาย

และแน่นอนว่า แม้เวลาจะผ่านมา 20 ปีแล้ว คนที่เคยผ่านช่วงเวลาในตอนนั้น ย่อม "กลัว" และ "กังวล" มากว่า เราจะต้องเผชิญกับวิกฤตเช่นนั้นอีกหรือไม่

หันมามองภาพในวันนี้กันบ้าง

ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยสูงถึง 2.05 แสนล้านดอลลาร์ / GDP ของไทยปี 2017 อยู่ที่ 4.5 แสนล้านดอลลาร์ / หนี้ต่างประเทศคิดเป็นเพียง 31% ของ GDP

ตัวเลขเงินบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2014 โดยในปี 2017 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลถึง 4.8 หมื่นล้าน USD นั่นทำให้ภาครัฐยังคงสามารถทำงบประมาณขาดดุลได้อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน

ตัวเลขเงินลงทุนของต่างชาติในไทยนั้น ตัวเลข Foreign Direct Investment จะลดลงต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันของไทยที่ลดต่ำลง เพราะไม่สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ ในขณะที่เพื่อนบ้านดึงดูดเงินได้เพิ่มขึ้น

แต่ตัวเลขการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ต่างชาติขายหุ้นไทยออกอย่างต่อเนื่อง และเหลือการถือครองไม่ได้สูงมาก และการถือครองตราสารหนี้ในไทยแม้จะเห็นยอด net buy กันมาก แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่ไม่ได้สูงมาก

เป็นที่น่าฉงนมากว่า แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะต่ำเพียง 1.5% เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในละแวกนี้ และในภาวะที่ Fed ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย จนทำให้ยอดเทขายหุ้นของต่างชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่เงินบาท กลับเป็นเงินที่แข็งค่าที่สุดในภูมิภาค เพราะนับจากต้นปียังคงแข็งค่าอยู่ถึง 0.5% นับว่าเป็นเงินสกุลที่แข็งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในแถบนี้เมื่อเทียบกับ USD ทั้งๆที่หากมองดูจากยอดขายหุ้นของต่างชาติ และการตรึงอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของแบงก์ชาติ ทั้งๆที่ประเทศอื่นทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยกันไปหมดแล้ว

นั่นแสดงให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติและภาครัฐเอง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ล้วนมีความพยายามที่จะสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาโดยตลอด รวมถึงคนไทยก็เริ่มที่จะมีวินัยทางด้านการเงินมากขึ้น

ภาคธนาคาร ภาคผู้ประกอบการ ต่างมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ไม่เหมือนเมื่อสมัย 20 ปีที่แล้ว

เพราะ "ไม่มีคนไทยคนไหน อยากกลับไปอยู่ในสภาพเช่นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว"

แม้วิกฤตจะเริ่มขึ้นในตุรกี อาร์เจนติน่า เวเนซุเอล่า และเริ่มลามมาเอเชีย แต่ตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกับเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างลิบลับ ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่า

hedge fund จะไม่เลือกไทยเป็นประเทศแรกๆในการเข้าโจมตี เพราะมันไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน และในตอนนี้ มีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่าไทยเยอะ

หากวิกฤตไม่ได้ลุกลามบานปลาย ผลกระทบที่มาถึงประเทศไทยคงจะไม่มาก เพราะเราได้สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาอย่างมากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

เว้นเสียแต่อย่างเดียว ถ้าวิกฤตลามเข้าไปที่ "จีน" จะไม่มีใครหลีกเลี่ยงวิกฤตนี้พ้น เพียงแต่ว่า ใครจะกระทบมากหรือน้อยก็แค่นั้นเอง

ดังนั้น จึงไม่อยากให้ตระหนกจนเกินไปว่า เดี๋ยวไทยโดนแน่ เดี๋ยวไทยโดนแน่

ถ้าจะโดน จะโดนเพราะอะไร ช่วยเอาข้อมูลมาสนับสนุนในเชิงวิชาการให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ออกมากระพือให้คนกลัวแบบไร้ที่มาที่ไป

เพราะถ้าไทยจะต้องโดนหนักกับวิกฤตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รับรองได้เลยว่า เพื่อนบ้านแถบนี้ "เละ" ก่อนเราอย่างแน่นอน


คนเล่นหุ้น