จับตา! หุ้นแบงก์ประกาศจ่ายเงินปันผล
TISCO รั้งเบอร์หนึ่งให้ผลตอบแทนมากสุด 7%

.
หลังการจากการประกาศงบการเงิน แน่นอนว่าต้องเข้าสู่ช่วงประกาศเงินปันผล ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าสัปดาห์นี้ (20-24 ก.พ. 66) หุ้นธนาคารหลายตัวจะเริ่มทยอยประกาศเงินปันผลออกมา และอาจเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนเพื่อรับโอกาสที่ราคาหุ้นจะรีบาวน์จากแนวโน้มผลประกอบการที่จะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้
.
โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า นับตั้งแต่การรายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ออกมาผิดหวังจากที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีฝ่ายวิเคราะห์มองว่าเป็นจังหวะในการเข้าสะสมเพื่อคาดหวังการรีบาวด์เพราะ
.
1.ผลประกอบการในปี 2566 จะฟื้นตัวได้ดีตามแนวโน้มของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ขณะที่คุณภาพหนี้ในพอร์ตสินเชื่อจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 2. คาดว่า Sentiment ในสัปดาห์นี้จะเริ่มดีขึ้น จากการเริ่มทยอยประกาศจ่ายปันผลของกลุ่มธนาคารตั้งแต่กลางสัปดาห์นี้ไปจนถึงปลายเดือนก.พ. 66
.
[TISCO ให้ผลตอบแทนมากสุด]
โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์เงินปันผลของหุ้นธนาคาร ดังนี้ SCB คาดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2565 ที่ 2.92 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 2.9% KBANK คาดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2565 ที่ 3.50 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 2.5% KTB คาดจ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 ที่ 0.72 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 4.3%
.
BBL คาดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2565 ที่ 3.11 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 1.9% TTB คาดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2565 ที่ 0.04 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 2.8% TISCO คาดจ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 ที่ 7.15 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 7% และ KKP คาดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2565 ที่ 2.18 บาท คิดเป็น Dividend yield ที่ 3.3%
.
สำหรับหุ้นเด่นที่ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ ได้แก่ SCB โดยปี 2566 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า SCB จะมีพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้น หลังเห็นความคืบหน้าของการรุกธุรกิจในกลุ่ม Consumer Finance (Gen 2) และกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น (Gen 3) ซึ่งคาดจะมีอัตราโตโดดเด่นในปีนี้ หลังที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้ SCB สามารถออกตราสารหนี้มูลค่ารวม 100,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี เพื่อขยายธุรกิจใหม่ๆ
.
ฝั่งของค่าใช้จ่าย บริษัทตั้งเป้า Cost to Income Ratio ที่ Mid 40% ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา แม้จะมีค่าใช้จ่ายของธุรกิจใหม่เข้ามา แต่จะไม่มีค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างธุรกิจเหมือนในปี 2565 (ราว 2-2.5 พันล้านบาท) ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมไม่ได้เร่งตัวขึ้นจากเดิมมากนัก
.
ขณะที่การตั้งสำรองผู้บริหารมองว่าปัจจุบันเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น และลูกหนี้ในพอร์ตยังมีความสามารถในการชาระเงินคืนอยู่ในเกณฑ์ดี ทาให้ตั้งเป้าที่จะลดระดับ Credit Cost ลงเหลือ 120-140 bps จาก 145 bps ในปี 2565 (ฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 138 bps) ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกหนุนให้คงคาดการณ์ SCB จะมีกำไรสุทธิในปี 2566 ที่ 47,528 ล้านบาท โต 26.6% จากปีก่อน
.
ดังนั้นคงมอง SCB เป็นธนาคารใหญ่ที่มีพัฒนาการน่าสนใจ จากการรุกธุรกิจใหม่ที่จะช่วยหนุนให้ NIM ในระยะยาวสามารถขยายตัวได้ดีกว่าธนาคารอื่น ขณะที่ปันผลครึ่งหลังของปี 2565 คาดจ่ายที่ 2.9 บาท คิดเป็น Div. Yield 2.7% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 144 บาท
.
ถัดมา KBANK ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น โดยเป้าหมายทางการเงินยังสอดคล้องกับประมาณการของเรา จึงมองผลดำเนินงานของ KBANK ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 หนุนด้วยการตั้งสำรองที่คาดจะผ่อนคลายลงต่อเนื่อง สอดรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่โตตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทได้ตั้งสำรองจานวนมากไปแล้วในไตรมาส 4/65
.
นอกจากนี้ในปี 2565 KBANK เป็นธนาคารที่มีการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยโดดเด่น จากทั้งการขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในหลายผลิตภัณฑ์ หากการตั้งสำรองปรับลดลงจะทำให้เห็นภาพการเติบโตของผลการดำเนินงานที่สดใสมากขึ้น คาด KBANK จะมีกำไรสุทธิในปี 2566 จำนวน 48,187 ล้านบาท โต 34.7% จากปีก่อน
.
ทั้งนี้ มองผลการดำเนินงานของ KBANK จะฟื้นตัวขึ้นเด่นในไตรมาส 1/66 จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/65 และจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นถูกกดดันจากผลดาเนินงานไตรมาส 4/65 ที่ต่ำกว่าคาดจนกลัมามี Upside พร้อมคาดมีปันผลจากกำไรงวดครี่งหลังปี 65 อีกหุ้นละ 3.50 บาท คิดเป็น Div. Yield 2.3% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 187 บาท
.
สุดท้าย TISCO ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มปี 2566 คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 7,614 ล้านบาท โต 5.4%จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากแนวโน้มการขยายสินเชื่อที่ดีขึ้น ตามเป้าหมายของบริษัทที่ 5-10% หลังกลับมาใช้นโยบายขยายสินเชื่อเชิงรุก, การขยายสาขาแบรนด์ “สมหวัง เงินสั่งได้” ถึงปีละ 200 สาขา (เพิ่มขึ้นมากจาก 50 สาขาในช่วงก่อน COVID-19) และการปรับ Product Mixed เน้นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง และสินเชื่อจำนำทะเบียน หนุนให้รายได้ดอกเบี้ยยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมมีทิศทางฟื้นตัวในทิศทางเดียวกันกับขนาดพอร์ต โดยเฉพาะกลุ่มนายหน้าประกันที่มักมีการขายพร้อมไปกับสินเชื่อเช่าซื้อ
.
ดังนั้นคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลดาเนินงานของ TISCO หลังบริษัทมีนโยบายขยายสินเชื่อมากขึ้นจากในช่วง 2 ปีก่อน อีกทั้งด้วยระดับ Coverage Ratio ที่สูงถึง 258.8% จากการตั้ง Management Overlay ทำให้แรงกดดันที่จะต้องเร่งตั้งสำรองไม่สูงมาก แม้จะหันไปปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น และคาดจะจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 7.20 บาท คิดเป็น Div. Yield สูงถึง 7% (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง) จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 116 บาท