4 หุ้น ตัวเต็งเลื่อนชั้น เข้าคำนวณใน SET 50
การหาธีมการลงทุน ณ ขณะที่เกิดภาวะตลาดหุ้นผันผวนส่วนใหญ่นักลงทุนจะเลือกลงทุนธีมหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกในแต่ละสถานการณ์อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมาบรรยากาศการติดเชื้อไวรัสโควิด19 ทั่วโลก หรือในประเทศไทยเองก็ตาม นักลงทุนมองอนาคต ด้วยการเลือกเล่นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และสายการบิน เพื่อรอรับปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตรวมถึงในแง่ของผลประกอบการ
ทั้งนี้ ไม่ต่างกับกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานเช่นกลุ่มน้ำมัน และปิโตรเคมี ที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจลงทุนเพราะผลทางเศรษฐกิจโลกที่เติบโตขึ้น ตามสภาวะการบริโภคอุปโภค และที่สำคัญกลุ่มหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่หรือประเภทนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องด้วยการที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่และอิงต่อสภาวะการเติบโตตามเศรษฐกิจของโลก
เช่นเดียวกันธีมกลุ่มหุ้นที่ Wealthy Thai ได้เลือกมาให้กับนักลงทุนได้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการคัดกรองหุ้นเพื่อเข้าลงทุน ซึ่งธีมหุ้นในกลุ่มนี้มีหลายอุตสาหกรรมที่รวมอยู่ ซึ่งที่สำคัญคือจะเป็นกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศจะต้องเข้าลงทุน เพราะเป็นธีมหุ้นในกลุ่มที่มีโอกาสจะได้รับการเข้าคำนวณใน SET50 ซึ่งบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ระบุว่าหารคำนวณ SET รอบใหม่ในเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีหุ้นที่ได้รับการเข้าคำนวณใน SET 50 จำนวน 4หุ้น ได้แก่ IRPC,KCE,STA และ STGT
โดยคุณอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้ข้อมูลว่า สาเหตุของการประเมินว่า 4 หุ้นที่มีโอกาสจะได้รับการเข้าคำนวณ SET50 ในรอบนี้ประกอบด้วย IRPC,KCE,STA,STGT เป็นไปตามรูปแบบการคำนวณเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ จึงทำให้ได้ผลสรุปออกมาเป็นทั้ง 4 หุ้นดังกล่าว เพราะนักลงทุนให้ความสนใจในกลุ่มหุ้นประเภทนี้ ซึ่งในสภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนนักลงทุนสามารถเลือกเข้าลงทุนหรือเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ได้
ทั้งนี้ Wealthy Thai จะนำนักลงทุนไปเจาะลึกรายละเอียดและโอกาสของการเติบโตในหุ้นแต่ละตัวว่าการดำเนินธุรกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร และผลประกอบการจะออกมาเป็นอย่างไร รวมถึงราคาหุ้นที่เหมาะสมกับผลประกอบการ และกำหนดคำแนะนำให้กับนักลงทุน ผ่านมุมมองนักวิเคราะห์หลายสำนักเพื่อเป็นทางเลือกของการลงทุน
โดยจะเริ่มวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานกันที่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ผลงานปีนี้ของ IRPC จะสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ด้วยสภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่มีความต้องการใช้สินค้าจากเคมีภัณฑ์โดยเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์พลาสติก ABS ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติงวดไตรมาส 1/64 ที่ประมาณ 5,594 ล้านบาท พลิกกำไรจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 396% จากไตรมาส 4/63 ซึ่งคาดว่าจะเป็นระดับกำไรสูงสุดในปี โดยการพลิกกำไรมาจากผลบันทึกสต็อกราคาน้ำมันก้อนใหญ่ที่เข้ามาหนุนจากราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น และอัตรากำไรที่ดีขึ้นทั้งฝั่งโรงกลั่น และปิโตรเคมี ตาม ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (spread) ผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นตัว เพราะดีมานด์ฟื้น และซัพพลายตึงตัว
ขณะเดียวกันคาดกำไรปกติในไตรมาส 2/64 แม้จะเติบโตกว่างวดเดียวกันของปีก่อนตามอัตรากำไรที่ดีขึ้นทั้งฝั่งโรงกลั่นและปิโตรเคมี แต่จะลดลงจากไตรมาส 1/64 จากการไม่มี stock gain ก้อนใหญ่มาหนุน ทั้งนี้เราปรับประมาณการกำไรปกติ 64-65 ขึ้นสะท้อน spread ปิโตรเคมี ที่ดีกว่าคาด จากปัจจัยด้าน supply และน้ำมันดิบฟื้นดีกว่าคาด พร้อมกับปรับ ราคาเป้าหมายปี 64 ขึ้นเป็น 4.50 บาทต่อหุ้น จากเดิม 4.20 แนะนำ “Trading Buy”
ขณะที่ KCE บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินกำไรสุทธิ อยู่ที่ 395 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน ขณะที่คาดรายได้ไตรมาส 1/64 ปีนี้จะอยู่ที่ 3571 ล้านบาท หรือ 118 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อิงจากข้อมูลการส่งออก PCB เดือน ม.ค.และ ก.พ.ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเติบโตกว่า 32-42% จากปีก่อน และการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ผู้ลงทะเบียนรถยนต์ใหม่ในสหรัฐฟื้นตัว 3.2%
ส่วนยอดขายในจีนเพิ่มขึ้น 72% จากราคาทองแดงและค่าเงินค่าที่เพิ่มขึ้น 3.3% จากปีก่อน และ 2.3% จากไตรมาส 4/63 สู่ 30.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะหดตัวเหลือ 22.9% ลดลง จากไตรมาส 4/63 คาดฉุดผลดีจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปีนี้
ส่วนกำไรไตรมาส 2/64 คาดดีขึ้นจากปีก่อน และไตรมาส1/64 จากฐานที่ต่ำและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยแนวโน้มยอดขายที่ดีและภาวะอุปทานชิปที่ดูจะไม่ส่งผลต่อ KCE เราคาดกำไรจะเติบโตรวมถึงอาจมีแนวโน้มบาทอ่อนเข้ามาช่วยหนุน และการเริ่มรับรู้ลูกค้ารายใหม่ๆในภาคโทรคมนาคมและทหารซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรประเมินมูลค่าเหมาะสม 58.00 บาท
ด้าน STA ผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 64 จาก 1.65 หมื่นล้านบาท เป็น 1.99 หมื่นล้านบาท จากการปรับเพิ่ม ASP ของกลุ่มยางธรรมชาติจาก 150 cent/kg. เป็น 165 cent/kg. และจากกลุ่มถุงมือยางที่ที่มี ASP จาก 50 เหรียญสหรัฐต่อ1,000ชิ้น เป็น 65 เหรียญสหรัฐต่อ 1,000ชิ้น รวมถึงขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำยางข้นอีก 1.1 แสนตัน เพื่อให้เพียงพอต่อดีมานด์ในการผลิตถุงมือยาง
นอกจากนี้ STA เริ่มขยายธุรกิจไปยังกลุ่มกัญชง โดยที่จะเริ่มต้นที่ 100-200 ไร่ ใน 3 จังหวัดที่เป็นที่ดินของบริษัทอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นขนาดไร่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศในขณะนี้ ปัจจุบันนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตและคาดว่าผลิตผลรอบแรกจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ราวเดือนต.ค. 2564 โดยใน 1 ปี จะสามารถปลูกต้นกัญชงได้ 3 รอบ อย่างไรก็ดี เรายังไม่ได้รวบธุรกิจกัญชงในประมาณการของเรา ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ปี 64 ที่ 52.80 บาทต่อหุ้น
ข้ามมาต่อกันที่บริษัทลูกอย่าง STGT หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางทางการแพทย์อันดับต้นๆของโลก จากสถานการณ์การระบาดของโลก มีการระบาดหลายระลอกในหลายประเทศจึงส่งผลให้ราคาขายถุงมือยางเพิ่มขึ้นตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ว่า กำไรสุทธิคาดที่ 10,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น2,276.8% จากปีก่อน ซึ่งทำระดับสูงสุดใหม่
ขณะเดียวกัน คาดเงินปันผลงวดไตรมาส 1/64 ที่ 1.88 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 4.5% สำหรับ 1 ไตรมาส และเทียบเท่าเป็นเงินปันผลของ STA ที่ 1.61 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 3.4% ดังนั้นเราจึงมองว่า STGT และ STA ราคาควรถูกซื้อขายที่ระดับใกล้เคียงกันแต่ปัจจุบัน STGT ยังต่ำกว่า STA ถึง 11%
อีกทั้งยังมีโอกาสถูกเพิ่มในการคำนวณ SET50 รอบกลางปี 2564 เช่นเดียวกัน และ STGT คาดเข้าซื้อขายในตลาดสิงคโปร์ช่วงกลางเดือน พ.ค. หลังประกาศงบไตรมาส1/64 ประเมินมูลค่าหุ้น STGT ด้วยกำไรเฉลี่ย 5 ปีข้างหน้าซึ่งอยู่ที่ 20,108 ล้านบาทหรือ EPS ที่ 7.02 บาท อิง PER เพียง 9 เท่าเช่นเดิมได้ราคาเป้าหมายที่ 63 บาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก