ผลสำรวจ 200 CEO 'ล็อคดาวน์'ทั้งประเทศกระทบธุรกิจหนัก
ลสำรวจ “200ซีอีโอ” ผวา ‘โควิดรอบใหม่’ 72% แนะเร่งล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูงทันที ค้านล็อกดาวน์ทั้งประเทศ หวั่นทุบเศรษฐกิจพัง เร่งปล่อยมาตรการเยียวยาควบคู่ ควบคุมต้นตอแพร่เชื้อ หยุดบ่อน แรงงานต่างด้าว ซีอีโอ 90% หวังรัฐเร่งหาวัคซีน
“กรุงเทพธุรกิจ” สำรวจความคิดเห็น 200 ซีอีโอองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่หลากหลายกลุ่ม เช่น ภาคการผลิต เกษตร พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ส่งออก การเงิน ค้าปลีก บริการ ท่องเที่ยว รถยนต์ อุปโภคบริโภค สุขภาพ และไอทีดิจิทัล ถึงความกังวลต่อการระบาดโควิด-19 รอบใหม่ จนต้องล็อกดาวน์บางพื้นที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ รวมถึงข้อเสนอการควบคุมระบาดรอบใหม่ มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ ธุรกิจระยะสั้น-ยาว โดยใช้เวลาสำรวจความเห็นเกือบ 1 สัปดาห์
จากการสำรวจ พบว่า ซีอีโอมากกว่า 50% กังวลมากต่อการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ขณะที่เมื่อถามถึงความกังวลต่อ “เศรษฐกิจและธุรกิจ” ซีอีโอส่วนใหญ่กลับระบุว่า “กังวลปานกลาง” โดยเกือบ 70% เชื่อว่ารัฐบาลจะควบคุมการระบาดได้
ส่วนมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลใช้สกัดการระบาดที่อาจขยายวงกว้าง ซีอีโอ มีความเห็นเรื่องนี้ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซีอีโอ 46% มองว่า การระบาดรอบใหม่รัฐควรล็อกดาวน์ทันที และ 44% ระบุว่าไม่ควรล็อกดาวน์
ซีอีโอ มองประเด็นนี้ว่า หากจะล็อกดาวน์หรือไม่ล็อกดาวน์ต้องคำนึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้มาก อาจต้องล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่ที่คุมไม่อยู่ หรืออาจไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์เลย แต่ต้องมีมาตรการที่คุมเข้มมาก ประเมินความเสี่ยงรายพื้นที่อย่างใกล้ชิด จำกัดคนเดินทางข้ามจังหวัด รวมถึงเร่งจัดการกับสถานประกอบการที่เป็นต้นเหตุ
ขณะที่ ซีอีโอ เห็นว่าไม่ควรล็อกดาวน์นานเกินไป อาจไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน และต้องควบคู่กับมาตการตรวจเชิงรุกในพื้นที่จริงจัง
ค้านล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ซีอีโอส่วนใหญ่มากกว่า 72% ระบุว่า หากรัฐต้องการล็อกดาวน์ควรต้อง “ล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่” ที่เสี่ยงสูง ซึ่งซีอีโอ 64% เชื่อว่า จะกระทบธุรกิจน้อย แต่ถ้ารัฐประกาศล็อกดาวน์ทั้งประเทศ (25.9%) ซีอีโอมากกว่า 68% ระบุว่าจะกระทบธุรกิจหนัก
ขณะที่ซีอีโอมากกว่า 91.5% เห็นด้วยว่ารัฐจำเป็นต้องเร่งจัดหา “วัคซีน” เพื่อยับยั้งการระบาดรอบใหม่เร่งด่วน ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจแต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย
"ธุรกิจ"เร่งปรับแผนด่วนรับมือ
การระบาดรอบใหม่ยังส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวต่อเนื่อง ซีอีโอมากกว่า 73% ระบุว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับแผนธุรกิจ เพื่อรองรับความเสี่ยงในการระบาดรอบใหม่ ขณะที่ 31.2% ระบุว่ารอดูและพร้อมประเมินสถานการณ์ใกล้ชิด ขณะที่ ซีอีโอ บางส่วน ระบุเตรียมแผนรองรับการระบาดรอบใหม่แล้ว พร้อมประเมินเป็น ซินาริโอ ว่าต้องปรับตัวอย่างไร
ส่วนแผนรับมือของภาคธุรกิจในการระบาดรอบใหม่ ซีอีโอส่วนใหญ่ 72.9% ให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work From Home) รองลงมา 46.7% รุกช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น ขณะที่มากกว่า 25% บอกว่าจำเป็นต้องลดจำนวนแรงงานและพนักงานบางส่วน
นอกจากนี้ใช้แผนแบ่งทีมทำงาน แยกพื้นที่ กระจายความเสี่ยง เร่งจัดโปรโมชั่น ผลักดันยอดขาย ระบายสต็อก ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หาลูกค้าใหม่ ดูแลลูกค้ากลุ่มเดิมใกล้ชิด ลดขนาดธุรกิจ ลดค่าใช้จ่ายองค์กร ลดต้นทุนไม่จำเป็น เน้นปรับทักษะคนในองค์กรให้รู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงปิดกิจการ โดยบางส่วนระบุว่า มาตรการรับมือนี้ทำมาตั้งแต่การระบาดรอบแรก
“วิถีดิจิทัล” นิวนอร์มของภาคธุรกิจ
เมื่อถามถึง “ความปกติใหม่” หรือ นิวนอร์มอล ที่สำคัญที่สุดของธุรกิจหลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซีอีโอ เกือบ 70% (67.8%) ยังเทไปที่ “การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ” รองลงมา คือ ปรับทักษะบุคลากร (Re-skill) และปรับโครงสร้างบริษัทให้สอดคล้องสถานการณ์ ซีอีโอมากกว่า 63.3% ให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่อง และซีอีโอกว่า 61% บอกว่า เน้นหาโมเดลธุรกิจใหม่ ตลาดใหม่ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ขณะที่วิถีนิวนอร์มอลอื่นที่ทำมาถึงปัจจุบัน เช่น เร่งกระจายความเสี่ยงสู่หลายธุรกิจ รุกแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ สร้างสมดุลกลยุทธ์ทางธุรกิจทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ปรับธุรกิจให้เห็นความสำคัญด้านสุขอนามัยคู่กับการเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน ลดขนาดองค์กรลง หันพึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศเป็นหลัก
รวมถึงมีแผนล่วงหน้ารับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ปรับวางแผนปฏิบัติการให้เร็วทันต่อสถานการณ์ และเริ่มเปิดประตูการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น
“จีดีพี”ไตรมาสแรกติดลบ
ซีอีโอ เกิินครึ่งมองว่า ตัวเลขเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ จะติดลบราว 5-7% อย่างไรก็ตาม หนึ่งมาตรการที่รัฐใช้ควบคุมการแพร่ระบาดในขณะนี้ คือ การคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ ซึ่งการสำรวจครั้งนี้ได้ถามความเห็นของทั้ง 200 ซีอีโอ และ 80% (79.9%) เห็นว่า รัฐบาลจำเป็นต้องบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะที่ 20% เห็นว่า ไม่จำเป็นและควรยกเลิก
แนะแก้แรงงานต่างด้าว-บ่อน
ซีอีโอได้เสนอแนะต่อภาครัฐในการควบคุมการระบาดรอบใหม่นี้ด้วย โดยส่วนใหญ่มองว่า การระบาดรอบใหม่เกิดจากความหละหลวมของการบังคับใช้กฏหมาย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวและบ่อนที่เป็นต้นตอการแพร่เชื้อรอบใหม่ ดังนั้นควรเข้มงวดและมีบทลงโทษที่ชัดเจน พร้อมประเมินสถานการณ์ใกล้ชิดและตัดสินใจล็อกดาวน์บางพื้นที่เพื่อควบคุมเชื้อ ซึ่งทุกมาตรการที่นำมาใช้ต้องเป็นเชิงรุก
ซีอีโอบางส่วน เห็นว่ารัฐควรเรียนรู้จากความผิดพลาดจากรอบแรกด้วย และควบคุมช่องโหว่ที่อาจเกิดปัญหาตามมา
“รัฐต้องจริงจังและรัดกุมในการตรวจหาเชื้อ ควรล็อกดาวน์เพื่อให้จบเร็ว และมีมาตราการลงโทษชัดเจนกับผู้ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์รอบนี้ เร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบ บังคับใช้กฎหมายจริงจัง เช่น บ่อนพนัน โดยเฉพาะกับหน่วยงานรัฐที่ต้องรับผิดชอบ ควบคุมการเข้าออกแนวชายแดน”
บางส่วนเห็นว่า “รัฐบาลต้องกล้าหาญที่จะล็อกพื้นที่เสี่ยงและต้องปราบบ่อน ธุรกิจผิดกฏหมายกับลงโทษข้าราชการในพื้นที่และส่วนกลางที่รับประโยชน์จากธุรกิจนั้นๆ”
เสนอรัฐแก้ปัญหาเชิงรุก
ขณะที่การแก้ปัญหา รัฐต้องแก้ไขปัญหาแบบ Proactive มีทิศทางสอดคล้องทุกระดับ ตักเตือนหรือลงโทษผู้ทำผิดเด็ดขาดและไม่ให้กลุ่มบุคลใดฉวยโอกาสจากสถานการณ์
ซีอีโอ เน้นย้ำว่า การระบาดรอบใหม่มีต้นเหตุสำคัญ คือ ความหละหลวมหรือจงใจของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การปล่อยให้เข้าเมืองผิดกฎหมาย แรงงานผิดกฎหมาย บ่อนการพนันเถื่อน รัฐควรมีมาตรการที่รวดเร็วชัดเจนมากกว่านี้
ขณะที่ส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐเร่งควบคุมการระบาดให้อยู่วงจำกัด แล้วเน้นล็อกดาวน์เฉพาะส่วนพื้นที่ ขณะที่ส่วนอื่นให้มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดและให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในส่วนนี้เดินต่อได้
“ล็อกดาวน์ได้แต่ต้องคำนึงถึงหลากหลายอาชีพที่กระทบโดยตรง ควรต้องเยียวยาอย่างครอบคลุมหรืออาจต้องซอยพื้นที่ให้เล็กลงหากจะล็อกดาวน์ ขณะที่ต้องเยียวยาธุรกิจ โดยเฉพาะรายย่อย เอสเอ็มอี แรงงาน ถ้าไม่เฉียบขาด การระบาดจะยืดเยื้อ ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงจนแก้ไขยาก"
ล็อกดาวน์-เยียวยา-เร่งวัคซีน
รวมทั้งมีความเห็นของซีอีโอบางส่วน เสนอว่า รัฐอาจต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์จริงจังโดยกำหนดเวลาที่ชัดเจน เช่น 1 เดือน หรือ 2-3 สัปดาห์ และตรวจโควิดแบบ Active เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ มาตรการในแต่ละจังหวัดต้องช่วยควบคุมการระบาดได้ด้วย
ซีอีโอ ยังมองประเด็นล็อกดาวน์เพิ่มเติมว่า รัฐควรล็อคดาวน์ให้เร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนการกระจายเชื้อ เพิ่มบทลงโทษให้เด็ดขาด นอกจากควบคุมด้วยความเกรงกลัวต่อบทลงโทษ รัฐควรเร่งทำแคมเปญส่งเสริมความเข้าใจให้ประชาชนว่า รัฐบาลมีแนวทางพาประเทศไปทิศทางไหน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน จากนั้นเมื่อจบช่วงล็อกดาวน์ควรส่งเสริมเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หนึ่งในมาตรการยับยั้งและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน คือ เร่งหาวัคซีน โดยซีอีโอส่วนใหญ่ต้องเร่งใช้มาตรการสาธารณสุขคุมการระบาด นำเข้าวัคซีน และสนับสนุนวิจัยผลิตวัคซีน ควบคู่การคัดกรองทุกคนโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงหรือมียอดผู้ติดเชื้อสูง
ซีอีโอ บางส่วนเห็นว่าภาครัฐออกมาตรการทั่วไปที่ดีอยู่แล้วเพื่อใช้กับประชาชนที่พร้อมให้ความร่วมมือแม้พบกับความลำบาก แต่ปัญหารอบใหม่มาจากคนส่วนน้อยที่ไม่สนใจมาตรการต่างๆ
“รัฐควรมองบุคคลที่เจตนาละเมิดมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยที่จะสร้างปัญหาในวงกว้าง ในระดับที่ต้องปราบปรามและลงโทษเด็ดขาด ให้ทุกชุมชนช่วยกันสอดส่อง และเข้าถึงช่องทางร้องเรียนหรือรายงานเหตุต่างๆ ให้ง่ายกว่าภาวะปกติ”
รัฐต้องสื่อสารอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ซีอีโอ ได้แนะการสื่อสารกับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมามีความสับสน โดยแนะว่ารัฐควรสื่อสารให้ชัดเจนกว่าที่ผ่านมา เรื่องใดที่ยังไม่เป็นทางการไม่ควรแถลงมาสร้างความสับสน ข่าวสารที่มาจากภาครัฐควรมาจากแหล่งเดียว
“รัฐต้องเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและตัดสินใจอย่างเป็นเอกภาพ เพิ่มทีมงานที่มีประสบการณ์เชิงปฏิบัติมากกว่าทีมที่เข้าใจแต่ระดับนโยบายจะได้สะท้อนสภาพจริงที่เกิดขึ้น และต้องกำชับข้าราชการทุกกระทรวง โดยเฉพาะที่ต้องติดต่อกับประชาชนควรมีความรู้และจริงใจในการแก้ปัญหา”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมุลจาก