วิเคราะห์ 10 หุ้นธนาคารของไทย
ระดับเงินกองทุนแข็งแกร่งแค่ไหน ?

.
การปิดตัวลงของสถาบันการเงิน 3 แห่งในสหรัฐฯ (Silvergate Capital, Silicon Valley Bank, Signature Bank)ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ จากการขาดสภาพคล่องหลังปล่อยเงินกู้ให้กับให้กับ Start up หรือ Digital Asset มากจนเกินไป ประกอบกับการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารปรับลดลง และต้องเผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่อง
.
โดยการปิดตัวของสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่ง สร้างความตื่นตระหนกและแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารทั่วโลก รวมถึงหุ้นธนาคารของไทยที่โดนเทขายจนราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
.
ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ผลกระทบจากกรณี Silicon Valley Bank (SVB) ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มีธนาคารไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1 % ของเงินกองทุนของกลุ่มฯ รวมถึงธนาคารไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่กลุ่มธุรกิจของธนาคารถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับต่ำที่ประมาณ 200 ล้านบาท
.
อีกทั้งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ของธนาคารไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง
.
ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้สำรวจอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) และระดับ BIS Ratio (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2565) ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการรับมือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของธนาคารไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มานำเสนอ
.
เริ่มที่ SCB หรือ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธุรกิจแกนหลัก โดยบริษัทมี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 159.7% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 18.9% ถัดมา KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 154.26% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 18.81%
.
BBL หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 260.8% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 19.4%, BAY หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 167.4% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 17.97%, KTB หรือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 179.7% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 19.80%
.
TTB หรือ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 133% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 20%, TISCO หรือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 258.8% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 23.4%, KKP หรือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 154.4% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 16.63%
.
LHFG หรือ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 220.9% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 15.4% และสุดท้าย CIMBT หรือ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) มี Coverage ratio อยู่ที่ระดับ 114.6% และมี BIS Ratio อยู่ที่ 21.8%
.
จากข้อมูลด้านบนจะเห็นได้ว่าหุ้นธนาคารทั้ง 10 หลักทรัพย์มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
.
รวมถึงมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับสูง ทั้งนี้ หุ้นธนาคารยังเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน โดยนักวิเคราะห์จากบล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร “มากกว่าตลาด” เพราะ valuation ยังถูก
.
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แม้ว่าจะยังอยู่ในขาขึ้น แต่เป็นการทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยฝ่ายวิเคราะห์ชอบกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่มากกว่าธนาคารขนาดเล็ก เนื่องจากได้ประโยชน์จากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น โดยยังเลือก BBL เป็น Top pick ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 187.00 บาท เพราะ BBL เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ขณะที่ยังมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio อยู่ในระดับสูงที่สุดในกลุ่มที่ 261% นอกจากนี้ Valuation ยังน่าสนใจโดยเทรดที่ PBV เพียง 0.60x
.
และ KTB ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 20 บาท เพราะได้รับผลดีจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ด้าน valuation ปัจจุบันยัง laggard เมื่อเทียบในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.63x (กลุ่มธนาคารซื้อขายที่ 0.68x) ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะมี upside เพิ่มจากการใช้ data ใน application เป๋าตังและอื่นๆ ที่ช่วยเหลือรัฐบาล ซึ่งสามารถนำข้อมูลมา cross-selling เพิ่มเติมได้อีกในอนาคต