โพยหุ้น บล.ไทยพาณิชย์ ปรับเป้า SET เหลือ 1,428 จุด เหตุเศรษฐกิจฟื้นช้า-บจ.เล็กถึงกลางเสี่ยงเบี้ยวหนี้
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทได้ปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ลงเหลือ 1,428 จุด จากเดิม 1,450 จุด จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศที่ค่อนข้างช้า จึงมีผลให้เศรษฐกิจระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน
ประกอบกับความเสี่ยงของการผิดชำระหนี้ของบริษัทขนาดกลางถึงเล็กที่มีแนวโน้มค่อนข้างสูง หลังจากเจอผลกระทบของสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งบริษัทคาดการณ์ผลกระทบดังกล่าวที่จะมีต่อการประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในปีนี้ลดลง 27% หรือ 62.57 บาท/หุ้น จากปีก่อนที่อยู่ 86.19 บาท/หุ้น
ลุ้น SET ปี64 ที่1,430 จุด หลังเศรษฐกิจฟื้นหนุนกำไรบจ.พลิกบวก แต่ปัจจัยเสี่ยงยังมี
อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ 1,430 จุด หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะพลิกกลับมาเป็นบวกหรือเติบโตได้ 28% หรือ 79.96 บาท/หุ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 แต่คาดการณ์ในระยะข้างหน้ายังมีดาวน์ไซด์ บางอย่างที่จะส่งผลกระทบทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ประกอบไปด้วย การลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ในระยะหลังนี้ตลาดการเงินทั่วโลกเปลี่ยนมาอยู่ในภาวะ risk-on เนื่องจาก Fed ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ 0% และดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วยการซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัดวงเงิน
การระบาดรอบสองของไวรัส COVID-19 โดยสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการระบาดรอบสอง ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. รัฐเท็กซัส ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย และอริโซนา รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด การพบผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นมากทำให้ผู้เชี่ยวชาญเกิดความกังวล
ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเชื่อว่าความเสี่ยงใหม่กำลังก่อตัวขึ้นและอาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต ทั้งประเด็นการค้าที่สหรัฐฯบีบให้จีนนำเข้าเพิ่มขึ้น ประเด็นเทคโนโลยีที่ต่ออายุการแบน Huawei และ ZTE อีก 1 ปี และประเด็นเงินทุนที่สภาผ่านร่างกฎหมายที่ให้อำนาจสหรัฐในการเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทจีนจากตลาดหลักทรัพย์หากไม่ทำตามข้อกำหนดสหรัฐฯ
รวมถึงปัจจัยในประเทศอย่างการปรับคณะรัฐมนตรี ที่จะมีผลต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและงานโครงการเมกะโปรเจกในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน
ภาพตลาดระยะสั้น “ดาวน์ไซด์” เริ่มจำกัด หลังเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
แต่อย่างไรก็ดีทิศทางตลาดต่อจากนี้ ดาวน์ไซด์มีจำกัดเนื่องจากตลาดกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่อาจจะเห็นการสับเปลี่ยน (rotation) กลุ่มลงไปยังหุ้นคุณค่า (value stock) และหุ้นวัฏจักร (cyclical stock) มากขึ้น การฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้ตลาดเริ่มกลับคืนสู่ภาวะเกือบเป็นปกติแล้ว ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความเสี่ยงด้านเครดิตปรับตัวลดลงโดยได้รับการสนับสนุนของธนาคารกลาง ควบคู่กับฟันด์โฟลว์และเครดิตสเปรชที่เริ่มมีเสถียรภาพ
แนะกลยุทธ์ลงทุน Q3/63 เน้นธีม Defensive และ tactical portfolio
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนไตรมาสที่ 3/63 ยังคงเน้น Defensive ด้านเศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตอย่างช้าๆ ในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้า จึงอยากให้นักลงทุนจัดพอร์ตลงทุนระยะยาว โดยแนะนำให้เข้าซื้อหุ้น defensive ที่มีคุณภาพสูง
อย่างกลุ่มสินค้าจำเป็น และกลุ่มการแพทย์ ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป น่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี top picks เช่น BDMS BEM BTS CPF ADVANC และ BCH
ขณะเดียวกันบริษัทประเมินว่าการจัดพอร์ตลงทุนเชิงกลยุทธ์ (tactical portfolio)ก็มีความเหมาะสมด้วยเช่นกัน โดยมุ่งเน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น BBL ERW IVL และ HANA
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก