BTS หุ้นรถไฟฟ้า ปันผลดี
คาดปี 2565/66 จ่ายผลตอบแทนทะลุ 4%
.
BTS ยังคงมีปัจจัยกดดันจากประเด็นหนี้ค้างชำระจากกรุงเทพธนาคม (KT) หน่วยธุรกิจของกทม. ที่ค้างค่าตอบแทนบริการการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะยืดเยื้อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี เพื่อรอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด แต่วันนี้ Wealthy Thai จะขอนำเสนอ BTS ในมุมมองของหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดี (Dividend Yield) บ้าง
.
โดย BTS มีประวัติจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ หากนักลงทุนถือหุ้นตั้งวันที่ 30 เม.ย. 2560 – 10 ก.พ. 2566 จะได้รับเงินปันผลทั้งหมด 12 ครั้ง รวมเป็นเงิน 2.03 บาทต่อหุ้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน BTS มี Dividend Yield อยู่ที่ 4.19% และติดอยู่ในลำดับที่ 19 ของดัชนี SETHD
.
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า ปัจจุบัน CHG มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 97,440.52 ล้านบาท และมี P/E อยู่ที่ระดับ 33.94 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พ.ค. 66) โดยราคาหุ้นวันที่ 18 พ.ค. 66 อยู่ที่ 7.40 บาท ปรับตัวลดลง 11.90% จากช่วงต้นปี
.
ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่าปีผลประกอบการ 2565/66 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลรวมที่ 0.30 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 4.2% ส่วนปีผลประกอบการ 2566/67 คาดจะจ่ายเงินปันผลที่ 0.30 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 3.8%
.
ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงาน ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า BTS จะรายงานงบการเงินไตรมาส 4 ปี 65/66 (เดือนม.ค.- มี.ค.2566) ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. นี้ โดยคาดกำไรปกติจะอยู่ในระดับอ่อนแอที่ 141 ล้านบาท ลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 72% จากไตรมาสก่อนหน้า
.
สำหรับสาเหตุของกำไรที่ลดลงคาดจะมาจาก 1. ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงจากการขยายธุรกิจของ RSSH ที่ยืดเยื้อมาในไตรมาส 4 ปี 65/66, 2. ช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจโฆษณาของ VGI และ 3. รายได้ที่ลดลงจากการก่อสร้างเนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองอยู่ในช่วงสุดท้ายของการก่อสร้าง
.
ทั้งนี้ คาดว่า BTS จะรายงานอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของ core EPS ช่วง 3 ปี (ปีงบการเงิน 2566/67 - 2569-70) ที่ 17.7% หนุนจาก 1. ปริมาณเที่ยวโดยสารของ BTS ที่ฟื้นตัวขึ้นแข็งแกร่งและรายได้โฆษณาของ VGI จากสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น, 2. การดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทในเครือคือ Rabbit Group, KEX และ Fanslink และ 3. รายได้จากโครงการต่อ ( ไป เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองและมอเตอร์เวย์ M6 และ M81
.
และเพื่อเปรียบเทียบ core EPS ปัจจุบันกับระดับก่อนเกิดโควิด-19 (EPS ปีบงการเงิน 2562/63) ฝ่ายวิเคราะห์จึงต้องปรับ core EPS ของบล.กสิกรไทยโดยตัดงานสัญญาออกจาก core EPS ดังนั้น จึงคาดว่า adjusted core EPS ในปีงบการเงิน 2567/68, 2568/69 และ 2569/70 จะคิดเป็นสัดส่วนที่ 96.4%, 102.4% และ 112.9% ตามลำดับ อิงจากประมาณการทางการเงินของบล.กสิกรไทย ในขณะที่มูลค่าองค์กรที่ปรับปรุงแล้ว (adjusted EV) ของปีงบการเงิน 2567/68 คิดเป็น 101.8%
.
สำหรับคำแนะนำ ฝ่ายวิเคราะห์ให้แนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายสิ้นปีงบการเงิน 2566/67 ที่ 8.95 บาท ปัจจัยหนุนจากมูลค่าหุ้นที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ 1. การฟื้นตัวของกำไรในปี 2566/67 และการฟื้นตัวของกระแสเงินสดในปี 2568/69, 2. กำไรและกระแสเงินสดขยายตัวจากการเริ่มโครงการรถฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง และ 3. การเจรจากับกทม. น่าจะยุติลงได้เมื่อการเมืองมีเสถียรภาพหลังการเลือกตั้งทั่วไป
.
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การแพ้คดีความกับ กทม. เรื่องสัญญา O&M ของส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (35% ของ EBIT และ 39% ของ TP), เงื่อนไขการชำระเงินที่ไม่เอื้ออำนวยจากกทม. ในข้อพิพาทเกี่ยวกับ O8M, การฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารที่ล่าช้า, จำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองอ่อนแอ และ ความไม่แน่นอนของสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก
