ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดรายชื่อ 4 หุ้นได้ประโยชน์ เมื่อรัฐบาลเล็งขึ้นค่าแรงรับปีใหม่

โดย ฉลุย
เผยแพร่ :
228 views

เปิดรายชื่อ 4 หุ้นได้ประโยชน์

เมื่อรัฐบาลเล็งขึ้นค่าแรงรับปีใหม่

.

ค่าแรงขั้นต่ำหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล “เศรษฐา” ที่ได้รับความสนใจจากประชาชน โดยได้มีการประกาศนโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวันภายในปี 2570 ซึ่งก็ได้มีการส่งสัญญาณออกมาว่าจะเริ่มต้นปรับขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน แต่ตัวเลขที่จะปรับขึ้นก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมา

.

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ย่อมมีผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบต่อบริษัทจดทะเบียน โดยวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงทำการรวบรวมข้อมูลพร้อมกับหยิบยกมุมมองการลงทุนของผู้เชี่ยวชาญถึงประเด็นดังกล่าว มานำเสนอให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุน

.

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่ากระทรวงแรงงานจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน เบื้องต้นคาดว่าจะปรับขึ้นสู่วันละ 400 บาท จะประกาศภายใน พ.ย. 66 มีผล 1 ม.ค. 67 อิงฐานค่าแรงปัจจุบันที่ 328-354 บาท จะคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 21.9%-12.9%

.

พร้อมกันนี้ยังประเมินค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นทุก 10% จะมีผลต่อกำไรตลาดจะอยู่ราว -4.25 พันล้านบาท หรือ -3% ถึง -4% ของกำไรตลาดโดยไม่รวมผลบวกอำนาจซื้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มที่กระทบสูง คือ รับเหมาฯ ร้านอาหาร สถานีบริการน้ำมัน โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ จะกระทบกำไร -6.2%, -5.1%, -3.2%, -2.9% และ -1.9%

.

ขณะที่กลุ่มได้อานิสงส์บวก คือ กลุ่มเช่าซื้อ เน้น MTC (Trading) กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง เน้น CBG กลุ่มติดตามหนี้ เน้น JMT และกล่ม Digital Tech Consult เน้น BE8 ทั้งนี้ กลุ่มที่กระทบในส่วนโรงแรมเน้นตั้งรับ ERW, CENTEL

.

สำหรับบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน 4 หุ้นที่รับผลบวก เริ่มที่ MTC บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้คาดการ์กำไรปี 2566 ที่ 4.97 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 2.3% เนื่องจากค่าใช้จ่ายตัดจำหน่ายและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

.

อย่างไรก็ดีกำไรได้ผ่านจุดตํ่าสุดในไปแล้วในไตรมาส 1/66 และคาดว่าไตรมาส 3/66 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว จึงประเมินกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ 20% จากครึ่งปีแรกปี 66 และ 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

.

ขณะเดียวกันด้วยมาตรการเชิงรุกที่เข้มงวดเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ ทำให้บริษัทกำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของปัญหาคุณภาพสินทรัพย์และกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการจัดการหนี้ที่ไม่ก่อรายได้แต่ยังสามารถสร้างการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อได้จะหนุนเติบโตของกำไรสุทธิที่ 29% ต่อปี ในปี 2567-2568 จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 49 บาท

.

ด้าน CBG บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรในปี 2566 ที่ 1.96 พันล้านบาท ลดงจากปีก่อนหน้า 14.2% แต่อย่างไรก็ดีด้วยทิศทางธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากการแข่งขันผ่อนคลายลงโดยปัจจุบันเริ่มเห็นเชิงบวกจากทั้งยอดขายและอัตรากำไรที่ฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุด

.

อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกใหม่จากยอดขายทางอ้อมจากผลิตภัณฑ์เบียร์ที่จะเข้ามาหนุนยอดขายตั้งแต่ไตรมาส 3/66 จะช่วยหนุนให้กำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 เด่นกว่าครึ่งปีแรกปี 66 และเติบโตต่อได้ในปี 2567 หรือเติบโตจากปีก่อนหน้า 34.1% มาอยู่ที่ 2.63 พันล้านบาท ดังนี้นจึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 98 บาท

.

สำหรับ JMT บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรปี 2566 ที่ 2.26 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 29.6% เนื่องจากบริษัทมีการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริหารเกือบ 1 แสนล้านบาท ในครึ่งปีแรกปี 66 จึงทำให้มีสินทรัพย์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาในพอร์ตซึ่งจะส่งผลยอดเก็บเงินสดเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 66

.

ขณะที่การทำมาร์จิ้นยังคงแข็งแกร่ง โดยเมื่อเทียบรายได้จากการเก็บหนี้กับต้นทุนดำเนินงานมีการปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการคุมต้นทุนดำเนินงานและต้นทุนการซื้อหนี้ที่ดี ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในปัจจุบัน ดังนี้ ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 60 บาท

.

สุดท้าย BE8 บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้คาดการณ์กำไรปี 2566 ที่ 287 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 66.8% โดยแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 66 ที่ยังคงเติบโตเด่นจากครึ่งปีแรก จากการเติบโตแบบ Inorganic ในต่างประเทศช่วงปลายปี และการชนะงานขนาดใหญ่จากการลงทุนรอบใหม่ของภาครัฐ จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 55.25 บาท

 

 

 


ฉลุย