ธนาคารกรุงศรีอยุธยามองว่า ค่าเงินบาทช่วงที่เหลือของสัปดาห์คาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ  33.20-33.80 บาทต่อดอลลาร์  โดยปัจจัยที่ติดตามคือการรายงานผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ในวันที่15-16 มี.ค.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินหลังจากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยและต้องดูถึงการลดขนาดงบดุล  (Quantitative Tightening) ของเฟดว่าเป็นอย่างไร 

ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่แตะระดับ 5.7% และเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 2% YOYมาจากสินค้าอาหาร และพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน เชื่อว่าไม่ทำให้กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยเหมือนสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางอยู่ช่วงฟื้นตัวแตกต่างจากสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นทั้งภาคการผลิต การจ้างงาน และการบริโภคนอกจากนี้เงินเฟ้อที่สูงไม่ได้มาจากดีมานแต่เป็นผลของอุปทานคือราคาน้ำมันที่สูงส่งผลต่อราคาสินค้าแพงจนทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไม่ได้มาจากเศรษฐกิจดีคนใช้จ่ายเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม ธปท.รู้ว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นเกินกรอบเป้าหมายที่วางไว้ 1-3% แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปีนี้   และ ธปท.คงดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากคนรายได้น้อยและปานกลางยังแย่

นอกจากนี้ต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาและผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตร ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก

ส่วนการเคลื่อนไหวสกุลภูมิภาค ตั้งแต่ ม.ค.- มี.ค.ที่ผ่านมาพบว่าวอน-เกาหลีใต้อ่อนค่าสุด 10.40  %รองลงมาคือ บาท-ไทย 9.9 %เปโซ-ฟิลิปปินส์ 7.20% ริงกิต-มาเลเซีย 4.4%รูปี-อินเดีย 3.6 %  

ดอลลาร์-สิงคโปร์ 2.4 %  รูเปียห์-อินโดนีเซีย 2.2% ดอลลาร์-ไต้หวัน 1.12% ยกเว้นหยวน -จีนแข็งค่า 2.9 %  ดอง-เวียดนาม 1.10% 

สำหรับสาเหตุที่บาทอ่อนเป็นผลมาจากผลกระทบรัสเซีย-ยูเครน เฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้สกุลเงินในภูมิภาคอ่อนค่า ประกอบกับรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยยังไม่กลับมาเนื่องจากจีนล็อกดาวน์บางพื้นที่จากโควิดที่ระบาดรอบใหม่

อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค.พบว่า ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย  110,864 ล้านบาท  พันธบัตรสุทธิ28,592 ล้านบาท

ที่มา   :  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 

ภาพประกอบ : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ,พิกซาเบย์