ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุปเหตุการณ์ตลาดหุ้นปี 2560 และบทเรียนที่ได้โดยพี่โจ ลูกอีสาน

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
115 views

สรุปเหตุการณ์ตลาดหุ้นปี 2560 และบทเรียนที่ได้โดยพี่โจ ลูกอีสาน จากเว็บบอร์ด Thai VI ครับ น่าสนใจมาก อยากให้อ่านกัน

-----------------------------------------------------


ขอบคุณที่มาภาพ Seminar knowledge by Amorn

กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2561 พี่น้องชาวสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่ประชา พี่นริศ พี่โดม พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร พี่วรรณ น้องๆ ทีวีไอทุกคน ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย มีความสุขกาย สบายใจ ตลอดปี และตลอดไปครับ

 

ตลาดหุ้นปี 2560 ที่เพิ่งผ่านไป เริ่มต้นปีที่ดัชนี 1542.94 จุด และเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยทำจุดต่ำสุดที่ 1529 จุด กลางเดือนพฤษภาคม จนกระทั่งกลางเดือนสิงหาคม ดัชนีเริ่มไต่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน สิ้นปีปิดที่ระดับ 1753.71 จุด ให้ผลตอบแทนรวมเงินปันผล 16.66 % (ราคาหุ้น 13.66 %+ ปันผล 3.00% ) ดีต่อเนื่องสองปีติดต่อกัน ตลอดปี 2560 เป็นปีทองของหุ้น IPO มีจำนวนบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ประมาณ 42 บริษัท สามารถเพิ่มมูลค่ารวมตลาดหุ้นได้ประมาณ 4.2 แสนบ้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์มา 42 ปีทั้งจำนวนและมูลค่าระดมทุน จำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 680 บริษัท (รวมบริษัทที่โดน SP -22 บริษัท) และกอง-ทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาอีก 59 กอง มูลค่าตลาดรวมตลาดหุ้นไทยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 17.9 ล้านล้านบาท

 

เปรียบเทียบกับตลาดอื่นๆในต่างประเทศ set index กลับสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างต่ำ ตลาดหุ้นหลักของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ดัชนี Down Jone & S&P 500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 25 % หรือในเอเชียที่ Hang Seng ฮ่องกงให้ผลตอบแทน 36 % หรือในกลุ่ม 6 ประเทศอาเซียน set index ชนะแค่ตลาด Malaysian เท่านั้น โดยดัชนีหุ้นเวียดนามโดดเด่นที่สุด ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย 48 % (คิดในสกุลเงินท้องถิ่น)

 

การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้น ดูเหมือนคำอธิบายที่มีเหตุผลจะตามมา ก็ต่อเมื่อเรารู้ผลของมันแล้ว แต่มันจะดูคลุมเครือ พร่ามัว ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง นักลงทุนคนไหนจะคิดว่า ดัชนีที่ต้วมเตี้ยมมาตลอด 8 เดือน จะพุ่งขึ้นถึง 200 จุดในเวลาแค่ 4 เดือนหลัง นี่ย่อมพิสูจน์ว่า การคาดการณ์ดัชนีได้ถูกต้องเป็นสิ่งที่มีความน่าจะเป็นพอๆกับโยนหัวก้อย คนที่มีกิจกรรมต้องทำนายดัชนี เช่น ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ TFEX อาจจะจนไปหลายคนเพราะทำนายผิดทาง หรือแม้คนที่ถือเงินสดหวังให้ตลาด crash ก็ยังเสียโอกาส ส่วนนักวิเคราะห์ที่ทายผิด ก็พยายามกลบเกลื่อน ทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำนายต่อไป หวังจะถูกสักวัน

 

ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจในประเทศโดยรวม แสดงภาวะซบเซาในครึ่งปีแรก ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง แต่การฟื้นตัวยังคงเป็นบางกลุ่มที่เรียกว่า ฟื้นกระจุก ซึมกระจาย กลุ่มที่ฟื้นตัว เป็นกลุ่มที่อิงกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มยานยนต์ กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยว แต่กลุ่มที่อิงกับกำลังซื้อในประเทศ ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำและภัยแล้ง การลงทุนภาครัฐที่นักลงทุนคาดหวังมาหลายปี ยังคงล่าช้าจากกฎระเบียบทางราชการและการประกาศใช้นโยบายจัดซื้อ จัดจ้างใหม่ของทางรัฐบาล

 

พอร์ตส่วนตัวของผม ยังทำผลตอบแทนได้น่าพอใจ ชนะตลาดเป็นปีที่ 14 จาก 18 ปีที่ลงทุนแบบวีไอ การลงทุนยังเน้นกระจายความเสี่ยง โดยถือหุ้นไทยประมาณ 37-38 ตัว ลดลงจากเกือบ 60 ตัวในปีที่แล้ว สาเหตุที่กระชับการถือหุ้นเพราะเน้นลงทุนในหุ้นที่เข้าใจ มีความแน่นอนของผลประกอบการ ขายหุ้นที่มีความไม่แน่นอน คาดเดายาก ประกอบกับเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางมากขึ้น ทำให้สามารถลงทุนในจำนวนเงินที่สูงได้ ระหว่างปีไม่มีการใช้เงินกู้ลงทุน แต่มีการใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันพอร์ตบ้างเล็กน้อย (ซึ่งแน่นอนว่าให้ผลขาดทุน) ปีที่ผ่านมา มีการขายหุ้นขาดทุน 7-8 ตัวที่คิดผิด แต่ผลตอบแทนรวมยังค่อนข้างดีเพราะหุ้นตัวหลักๆให้ผลตอบแทนตามสมควร และมีหุ้นขนาดกลางบางตัวที่ให้ผลตอบแทนเกินเท่าตัว ทำให้พอร์ตรวมชนะตลาดได้

 

ส่วนพอร์ตการลงทุนต่างประเทศ ปีนี้ลงทุนเพิ่มในตลาดฮ่องกง นอกเหนือจากตลาดเวียดนาม แต่โดยรวม การลงทุนในต่างประเทศยังไม่ประสบผลสำเร็จ ผลตอบแทนแพ้ตลาดมาก โดยเฉพาะในตลาดเวียดนาม ที่แม้ให้ผลตอบแทนสูงสุดในเอเชีย แต่การเพิ่มขึ้นของดัชนีเกิดจากหุ้นขนาดใหญ่ที่ตลาดนิยม ไม่ใช่หุ้นตัวกลาง-เล็กที่ผมถือ และแม้เราสนใจลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ก็หาซื้อหุ้นไม่ได้เพราะติดเกณฑ์การถือครองหุ้น Foreign limit และปัจจัยที่ส่งผลชัดเจนให้ผลตอบแทนพอร์ตไม่ดีคือจากอัตราแลกเปลี่ยน ปีนี้เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นมาก จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล โดยแข็งค่าขึ้นประมาณ 7 % เทียบเงินเวียดนามด่อง(VND) และแข็งค่าขึ้น 8-9% เปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD//USD) ดังนั้นเงินลงทุนทั้งในเวียดนามและฮ่องกง จึงด้อยค่าโดยปริยายเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทไทยในวันสิ้นปี นี่เป็นเหตุผลหลักที่พอร์ตลงทุนต่างประเทศที่เคยเป็นสัดส่วนเกือบ 10 % ก่อนหน้านี้ ปรับลดลงเหลือ 7-8 % ไม่ใช่เพราะขาดทุนแต่เป็นเพราะพอร์ตหุ้นไทยโตขึ้นมากกว่า ตรงกันข้ามกับนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในหุ้นไทย ได้กำไรที่ดีกว่าปกติทั้งจากราคาหุ้นและจากอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยเหตุผลเดียวกับหุ้นไทย ปีที่ผ่านมาปรับลดการถือหุ้นเวียดนามจาก 36 ตัว เหลือ 18 ตัว โดยปรับลดตัวที่ไม่มีความแน่นอน ลดหุ้นที่ปันผลสูง มาเน้นหุ้นที่เติบโตแทน รวมถึงเน้นการถือหุ้นบางตัวที่มีโอกาสกำไรชัดเจนมากกว่า

 

มองไปในอนาคต ผมยังคงลงทุนในต่างประเทศบางส่วน เพื่อลดความเสี่ยงที่สินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ในสกุลเงินบาท แต่เรื่องผลตอบแทนขึ้นอยู่กับว่าผลของการเรียนรู้ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา จะผลิดอกออกผลเมื่อไหร่ แต่ยังมีเรื่องดีๆอยู่บ้าง ที่โบรคเกอร์ไทยบางราย เริ่มให้บริการซื้อขายหุ้นเวียดนามโดยตรงผ่านทาง Internet โดยไม่ผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดแล้ว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมรอคอย คาดว่าในระยะเวลาอันใกล้ โบรคเกอร์รายอื่นๆ จะให้บริหารเช่นนี้เกือบทั้งหมด การซื้อและขายหุ้นเวียดนามจะสะดวกสบาย คล่องตัวขึ้นมาก

 

มองไปข้างหน้าในปี 2561 นี้ มีโอกาสมากเหลือเกินที่ดัชนีจะทำลายสถิติปิดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้ที่ 1753.73 และจุดสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ที่ 1789.16 จุดในวันที่ 4 มกราคม 2537 ที่พูดว่ามีโอกาสมาก เพราะจากดัชนีปิดในปี 2560 ที่ 1753.71 จุด ห่างจากดัชนีที่จุดสูงสุดเพียงแค่ 0.02 จุดเท่านั้น หรือเท่ากับว่านี่เท่ากับจุดปิดสูงสุดแล้ว บางคนอาจคิดว่าระดับดัชนีที่สูงกว่าจุดสูงสุดในอดีต เป็นสิ่งอันตรายที่นักลงทุนต้องระวัง นี่อาจไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะระดับดัชนีที่ 1789.16 ในปี 2537 ณ.จุดนั้นหุ้นทั้งตลาดเทรดที่ P/E เฉลี่ยประมาณ 30 เท่า P/B เฉลี่ยประมาณ 5 เท่า เปรียบเทียบกับปัจจุบันเทรดที่ P/E 19 เท่าและ P/B แค่ 2.1 เท่า ต่างกันมาก หรือพูดได้ว่าระดับดัชนีในปัจจุบันมีพื้นฐานของบริษัทรองรับดีกว่าในอดีตมาก เป็นผลจากตลอด 24 ปีที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนสร้างกำไรทุกปี และสะสมกำไรบางส่วนไว้ในบริษัท ทำให้สามารถนำไปขยายกิจการสร้างกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้ทั้ง P/E และ P/B ลดลง ไม่รวมถึงผลของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ที่ต่ำกว่าในอดีตมาก ทำให้หุ้นเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้น

 

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เราควรสรุปบทเรียนที่ได้เรียนรู้ในปีที่ผ่านมา

 

รู้ว่าจะตายที่ไหนเพื่อจะได้ไม่ไปที่นั่น ปี 2560 เป็นปีที่ค่อนข้างผิดปกติ เพราะมีหุ้นหลายตัวที่สร้างความเสียหายกับนักลงทุนอย่างคาดไม่ถึง ราคาหุ้นเหล่านี้ลดลง 70-90% บางตัวต้อง SP เข้าแผนฟื้นฟู ทั้งที่เป็นหุ้นที่เคยมีพื้นฐานอยู่บ้าง หลายตัวก่อนที่ราคาจะตกหนัก มองตัวเลขทางการเงินก็ยังดูดี เช่น AJx Gx EARxx เราในฐานะนักลงทุนวีไอ ที่ใช้ตัวเลขทางการเงินเหล่านี้ในการวิเคราะห์ จะมีอะไรที่เป็นสัญญาณเตือน ให้เรารอดปลอดภัยจากหุ้นประเภทนี้หรือเปล่า ผมคิดว่าพอมีบ้าง เช่น ประวัติ พฤติกรรมของผู้บริหารที่ดูน่าเคลือบแคลง เราอาจจะไม่รู้ แต่เราสัมผัสได้ บุคลิก การเปิดเผยข่าวสาร การสื่อสารกับนักลงทุน แต่ปัจจัยที่ชัดเจนคือ อะไรที่ดีเกินจริง ให้สงสัยไว้ก่อน มันอาจทำให้เราพลาดโอกาสบ้าง แต่จะลดโอกาสที่เราจะเสียหายหนักๆ ทั้ง 3 บริษัทข้างต้น มีตัวเลขผลประกอบการดีอย่างน่าสงสัยติดต่อกันมาหลายปี หลายไตรมาส ทั้งที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันกันสูง และประเด็นข้อสังเกตสุดท้ายคือหากธุรกรรมหลักหรือกำไรส่วนใหญ่ มาจากต่างประเทศ ให้สงสัยไว้ก่อน ยิ่งหากเป็นประเทศเล็กๆ ขาดความโปร่งใสให้ระวังเป็นดีที่สุด

 

วิกฤติตั๋วแลกเงิน (BE-Bill of Exchange) นี่คงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของสิ่งที่ดีเกินจริง ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ในช่วงปีก่อนหน้าคือปี 2559 การกู้เงินโดยการออกตั๋วแลกเงิน ได้รับความนิยมจากบริษัทจดทะเบียนเป็นอย่างมาก เหตุผลหลักๆเป็นเพราะ ออกได้ง่ายและจ่ายดอกเบี้ยต่ำ สะดวกเพราะบางบริษัทไม่ต้องจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และยังได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ากู้ธนาคาร เนื่องจากสถาวะดอกเบี้ยตกต่ำเป็นเวลานาน ผู้มีเงินออมเหลือพยายาม Search for yield มองหาผลิตภัณฑ์การเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดและคิดว่าความเสี่ยงต่ำสุดเช่น ตั๋วบีอี จนกระทั่งจุดหนึ่งแม้แต่บริษัทที่งบการเงินอ่อนแอ ขาดความโปร่งใส ไม่จัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Nonrated) ยังสามารถออกตั๋วบีอีขาย และโชคร้าย ยังมีคนเต็มใจที่จะซื้อ และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตินี้ ทันทีเริ่มมีข่าวบางบริษัทผิดชำระหนี้ (Default) ด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ฟองสบู่ตั๋วบีอีก็แตก เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้ซื้อตั๋วว่าจะไม่ได้เงินคืน บางบริษัทที่เคยออกตั๋วใหม่เพื่อชำระตั๋วเก่าก็เริ่มทำไม่ได้ เพราะนักลงทุนไม่กล้าซื้อ ลุกลามทำให้บางบริษัทขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยการกู้หนี้สูงๆ หรือลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว โดยใช้เงินกู้ระยะสั้นจากตั๋วบีอี สถานการณ์เลวร้าย จนแทบไม่มีบริษัทใดที่ออกตั๋วบีอีขายได้เลย และนี่พลอยทำให้การออกหุ้นกู้ ซึ่งคล้ายกับตั๋วบีอี แต่เป็นการกู้ระยะยาวกว่า ได้รับผลกระทบไปด้วย หากจะให้ขายได้ บริษัทต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อชดเชยความกลัวของนักลงทุน นี่เองทำให้ต้นทุนทางการเงินของหลายบริษัทเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำไรโดยรวม วิกฤติตั๋วแลกเงินย่อมพิสูจน์คำพูดที่ว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล จะจบลงอย่างมีเหตุผล

 

ฟองสบู่หุ้น IPO ปี 2560 เป็นปีทองของหุ้น IPO อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งจำนวนหุ้นที่เข้าจดทะเบียนและมูลค่าตลาดที่เพิ่ม ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์หุ้นไทย โดยในครึ่งปีแรก ภาวะหุ้น IPO ยังอยู่ในช่วงซบเซา แต่ครึ่งปีหลังกลับเป็นยุคทองที่ไม่เคยมีมาก่อน บางวันมีหุ้นเข้าตลาดพร้อมกับถึง 2 บริษัท เหตุผลที่เป็นอย่างนี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เมื่อมองไปที่ระดับดัชนีตลาดหุ้นที่อยู่ในช่วงร้อนแรงสูงสุดในประวัติศาสตร์ เหล่าที่ปรึกษาทางการเงิน เจ้าของบริษัท ที่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม ฉวยโอกาสนี้จังหวะที่ตลาดดี รีบเข็นบริษัทเข้าตลาดในช่วงทอง กอบโกยเม็ดเงินให้มากที่สุด จากการขายหุ้นราคาแพงๆ (นักลงทุนเคยตั้งคำถามไหม ช่วงตลาดซบเซา ทำไมหุ้น IPO หายไปไหนหมด) คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดในสภาวะเช่นนี้คือ ผู้ก่อตั้งธุรกิจ ที่เสียสัดส่วนหุ้นไม่มาก แต่ได้เงินเข้าบริษัทมหาศาล, ที่ปรึกษาทางการเงิน underwriter ที่ได้เงินตาม % ที่ระดมทุนได้,หน่วยงานเกี่ยวข้องที่ได้ผลงาน ,เศรษฐกิจประเทศที่น่าจะดีขึ้น จากเงินที่ระดมไปลงทุน ดูเหมือนจะมีกลุ่มคนที่อาจจะโชคร้ายอยู่กลุ่มเดียว นั่นคือนักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้น IPO ในราคาแพงๆ ในช่วงตลาดแพงๆ นี่เป็นเหตุผลที่ระยะหลังเริ่มมีหุ้น IPO บางตัวสร้างให้ผลขาดทุนกับนักลงทุน ความเชื่อที่ว่าใครได้หุ้น IPO มีแต่กำไรเท่านั้น ไม่มีความเสี่ยง แน่นอนเป็นเรื่องที่ไม่จริง นักลงทุนซื้อไปแล้วขาดทุน เมื่อถึงจุดนึง เริ่มไม่กล้าซื้อหุ้น IPO นั่นคงเป็นจุดจบของฟองสบู่ IPO รอบนี้ ด้วยน้ำมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นี่ไม่รวมถึงหุ้น IPO หลายตัวมีกำไรที่น่าสงสัย บางบริษัทก่อตั้งได้ไม่กี่ปีแต่สามารถมีมูลค่าตลาดสูงเป็นหมื่นล้าน บางบริษัทไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ยังขาดทุนอยู่เลย บางบริษัทยังมีคดีฟ้องร้องที่มีนัยยะสำคัญมาก คุณภาพกำไรของหลายบริษัทที่ไม่แน่นอน แต่รีบเข็นบริษัท ถอนทุนตอนที่กำไรทำจุดสูงสุด ในช่วงตลาดสูงสุด คงเดาได้ไม่ยากว่าใครจะซวยที่สุด

 

หุ้นเทวดาตกสวรรค์ หุ้นหลายตัวที่ขึ้นด้วยความคาดหวังสูง คาดหวังในกำไรที่จะเพิ่มขึ้น หุ้นเหล่านี้หากจะไม่ให้ราคาถดถอย มีทางเดียวคือทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่คาด กำไรต้องโตระเบิด ถ้าโตน้อย หรือไม่โต ตลาดจะลงโทษอย่างรุนแรง หลายตัวแม้กำไรโต แต่ตลาดคาดหวังไว้สูงมากกว่า ราคาหุ้นถูกปรับลด P/E เราจึงได้เห็น แม้กำไรเพิ่ม แต่ราคาหุ้นกลับลดลง นี่คือเสน่ห์และอันตรายของหุ้นเติบโต ราคาหุ้นสามารถขึ้นไปได้มาก ตราบที่นักลงทุนยังคาดหวัง และปรับลดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อนักลงทุนเพียงแค่เริ่มสงสัย ถึงความสามารถในการทำกำไร ตลอดปี 2560 มีหุ้นหลายตัวที่เคยเทรดในระดับ P/E ที่เหลือเชื่อ แต่เมื่อไม่สามารถสร้างกำไรที่คาดหวัง ราคาก็ลดลงมาก จนสร้างความเสียหายให้นักลงทุนหลายคน นี่คงสะท้อนแนวคิดของวีไอที่กล่าวว่า ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย ความคุ้มค่าคือสิ่งที่ได้รับ คุณภาพ และ ราคาเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาไปด้วยพร้อมๆกัน คนที่ละเลยอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมได้บทเรียน..

 

โรงไฟฟ้าไม่ได้น่าซื้อทุกตัว หุ้นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในปี 2560 คือหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ด้วยปัจจัยหลายๆประการ เช่น มีหุ้นในกลุ่มนี้ขนาดใหญ่ที่เข้าระดมทุนจำนวนมาก หรือการที่นักลงทุนที่มีชื่อเสียงเข้าไปถือหุ้นในบางตัว รวมถึงธรรมชาติรายได้ กำไร ในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความแน่นอนสูงค่อนข้างสูง จากสัญญาการซื้อขายไฟที่แน่นอน แต่นักลงทุนวีไอที่ดี เราควรตั้งคำถาม ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ มีความเสี่ยงใดๆที่เราอาจไม่รู้หรือเปล่า เช่น

 

- สัญญาต่างกัน รายได้ย่อมต่างกัน บริษัทที่ได้ส่วนเพิ่มจากค่าไฟพื้นฐาน (adder) สูง กำไรจะสูง แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือระยะเวลาที่ได้แอดเดอร์ที่สั้น บางบริษัท 8 ปี หรือ 6 ปี เมื่อหมดระยะเวลาแอดเดอร์ กำไรที่บริษัททำได้จะลดลงอย่างมาก และนี่จะเป็นระเบิดเวลาของราคาหุ้นด้วย บางบริษัทที่ได้สัญญาแบบ FIT (Feed-in Tariff) เป็นสัญญาที่ค่าไฟค่อนข้างคงที่ และระยะเวลาขายที่ยาวนานกว่ามาก กำไรอาจจะไม่มาก แต่ยาวนานกว่า สัญญาซื้อขายไฟมีผลต่อกำไรและราคาหุ้นอย่างมาก บางบริษัทราคาหุ้นไม่ไปไหน ทั้งที่ P/E ต่ำ กำไรเติบโต แต่นักลงทุนส่วนใหญ่รู้ว่า Adder กำลังจะหมดอายุ

 

- เทคโนโลยี วัตถุดิบ ต่างกัน ความสามารถในการทำกำไรย่อมต่างกัน โรงไฟฟ้าไม่ได้เหมือนกันหมดทุกโรง มีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกันไป ไฟฟ้าจากถ่านหิน- ราคาไฟฟ้าต่ำ มีความเสถียร แต่ลงทุนสูงและสร้างได้ยากเพราะชาวบ้านต่อต้าน รวมถึงก่อให้เกิดแก๊สโลกร้อน กำไรของผู้ผลิตจะดี ไฟฟ้าจากแก๊สธรรมชาติ-ลงทุนสูง ต้นทุนการผลิตต่ำหากเป็นแบบผลิตไอน้ำร่วมด้วย (Cogeneration) สร้างไม่ยาก แต่กำไรของผู้ผลิตจะต่ำ ไฟฟ้าจากพลังน้ำ – ค่าไฟต่ำ แต่ลงทุนสูงและสร้างได้ยากเพราะโดนต่อต้าน การผลิตขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง กำไรของผู้ผลิตจะดี ไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ – ค่าไฟฟ้าสูง รัฐยังต้องสนับสนุน ชั่วโมงการผลิตต่ำ แต่สร้างได้ง่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง กำไรของผู้ผลิตมีแนวโน้มต่ำลงเพราะความง่ายในการผลิต ไฟฟ้าจากชีวมวล – ค่าไฟสูงเล็กน้อย ความยากง่ายในการก่อสร้างปานกลาง มีปัญหาเรื่องต้นทุนเชื้อเพลิง โรงไฟฟ้าจากพลังงานลม – ค่าไฟสูงเล็กน้อย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ลงทุนสูง หาพื้นที่เหมาะสมได้ยากเพราะประเทศไทยมีลมน้อย กระแสไฟไม่เสถียร กำไรของผู้ผลิตปานกลาง ไฟฟ้าจากพลังความร้อนใต้พื้นพิภพ (Geothermal) – ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ชั่วโมงการผลิตยาวนาน แต่ลงทุนสูงและหาพื้นที่เหมาะสมได้ยาก(ส่วนใหญ่ในต่างประเทศ) ราคาขายและกำไรของผู้ผลิตปานกลาง

 

- องค์ประกอบอื่นๆ เช่น คดีฟ้องร้อง ที่อาจจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ อย่าเชื่อเพียงลมปากผู้บริหารว่าคดีไม่มีปัญหา กำลังการผลิต อย่าดูแค่เมกะวัตต์ (MW) แต่ให้ดูถึงชั่วโมงการผลิตด้วย กำลังการผลิตน้อยแต่ผลิตได้ 24 ชม. อาจดีกว่ากำลังการผลิตมาก แต่ผลิตได้ 5 ชม/วัน โรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ต้องระวังเรื่องความเป็นไปได้จริงของโครงการ ความแน่นอนของค่าไฟฟ้า รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน เงินลงทุน ธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูง แม้มีสัญญารับซื้อไฟ แต่ไม่สามารถกู้เงินมาลงทุนได้เพราะหนี้สินสูง ย่อมไม่มีประโยชน์ การเพิ่มทุน ก็ทำให้ EPS ลดลง

 

ปรากฏการณ์บิทคอยน์ (Bitcoin) รวมถึงเงินสกุลดิจิตอลต่างๆ นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากสำหรับผม ทางที่ง่ายที่สุดคือหลีกเลี่ยง แทนที่จะเสียเวลาทำความเข้าใจกับมัน แม้ความโลภจะเรียกร้อง เมื่อเห็นคนอื่นกำไรกันอย่างง่ายๆ รวยเร็วๆ รวยทันใจ แต่สามัญสำนึกเบื้องต้นบอกว่านี่เป็นสิ่งอันตราย สิ่งของที่มูลค่าขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น จับต้องแทบไม่ได้ หากความเชื่อมันหดหาย หรือมีบางอย่างที่มา disrupt หรือทดแทน จะเกิดอะไรขึ้นกับราคา เหมือน Chalie Munger พูดไว้

"Believe me, man is capable of somehow creating more bitcoin. … They tell you there are rules and they can't do it. Don't believe them. When there is enough incentive, bad things will happen."

นักลงทุนจะไม่เดือดร้อน หากไม่ได้ลงทุนในบิทคอยน์ แต่จะเดือดร้อนแน่ๆ เมื่อเข้าไปลงทุน และมันไม่เป็นไปตามคาด แล้วเราจะเสี่ยงทำไม ไม่มีความโลภใดที่เลวร้ายกว่าความโลภที่เราควบคุมไม่ได้

 

เริ่มกันใหม่ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาในการลงทุน มีเพื่อนนักลงทุนหลายคนที่เข้ามาปรับทุกข์ ปรึกษา ขอคำแนะนำ หลังจากได้ตัดสินใจทำสิ่งผิดๆไป จนขาดทุนเสียหายหนัก เกือบทุกกรณีมักเกี่ยวข้องกับการขาดประสบการณ์ทำให้เลือกหุ้นผิด การเพิ่มความเสี่ยง เช่น all in ในหุ้นตัวเดียวหรือน้อยตัว บางคนหนักกว่าถึงกับใช้เงินกู้ทุ่มกับหุ้นตัวเดียวแล้วผิดพลาด สิ่งที่ผมพอจะแนะนำได้จากชีวิตการลงทุนคือการให้อภัยตัวเอง ในเมื่อเราให้อภัยคนอื่นได้ เราควรอภัยให้กับตัวเองได้เช่นกัน การหมกมุ่น จมอยู่กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้ว เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ในการลงทุน วันสิ้นปีเหมือนวันที่กดรีเซ็ต ล้างทุกอย่างเป็นศูนย์ ปีที่แล้วเราจะขาดทุนเท่าไหร่ กำไรมากแค่ไหน จบตรงนั้น ปีใหม่เริ่มเหมือนกันหมดที่ตัวเลขศูนย์เท่าๆกันทุกคน สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ คือทำอย่างไร ไม่ให้ผิดพลาดเหมือนในอดีต การผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของทุกคน แต่การผิดซ้ำๆด้วยเรื่องเดิมๆ เท่ากับไม่มีการเรียนรู้ คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักใช้วิธีเดิมๆ แต่ต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง ซึ่งมันไปไม่ได้จริง หากเราหมั่นจดบันทึก ข้อผิดพลาดในทุกๆปีที่ผ่านไป คอยเตือนทบทวนตัวเอง ไม่ให้เกิดซ้ำ เราจะพัฒนา เป็นนักลงทุนที่ผิดพลาดน้อยลง ได้กำไรบ่อยขึ้น มากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้นนั่นเอง

 

ปีใหม่นี้ ปีการลงทุน 2561 ยังคงท้าทายเหมือนทุกๆปี สิ่งที่แย่มีโอกาสเกิดขึ้นเท่าๆกับสิ่งที่ดี ขอให้เพื่อนนักลงทุนอย่าประมาท จงพยายามในสิ่งที่เราควบคุมได้ ผมเชื่อว่าหากเราเริ่มด้วยทัศคติที่ถูกต้อง ทำด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ดีจักบังเกิด..

 


SiTh LoRd PaCk