ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทำไมอาร์ตทอยถึงฮิต? มอง “ประวัติศาสตร์การสะสม” จากสแตมป์สุดสวยถึงอาร์ตทอยน่ารัก

โดย การ์ตูน
เผยแพร่ :
61 views

ทำไมอาร์ตทอยถึงฮิต? มอง “ประวัติศาสตร์การสะสม” จากสแตมป์สุดสวยถึงอาร์ตทอยน่ารัก

เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่วัฒนธรรมการสะสมในช่วงปีที่ผ่านมานับว่ามาแรงและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะในเรื่องของอาร์ตทอย ซึ่งล่าสุดนี้เองทางซีอีโอของป็อบมาร์ทก็ได้เปิดเผยว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้กำลังพุ่งสูง และอาจจะพุ่งขึ้นถึง 3หมื่นล้านหยวน หรือกว่า 1.36 แสนล้านบาทในปีนี้ด้วย ซึ่งสำหรับบริษัทป็อบมาร์ที่ก่อตั้งมาในปี 2010 นับว่าเป็นอีกหนึ่งกิจการที่มาแรงจากกระแสความนิยมอาร์ตทอยของผู้คนจำนวนมากในปัจจุบัน

การสะสมสิ่งของนับว่าเป็นอะไรที่มีมาเนิ่นนานตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้น อย่างไรก็ดี การสะสมในยุคแรกเริ่มก็เป็นเพียงแค่การสะสมธรรมดาทั่วไป แต่แล้วก็เกิดการนำเอาพฤติกรรมการสะสมของมนุษย์มาทำให้เป็นธุรกิจผ่านสิ่งที่เรียกว่า “กาชาปอง” และได้ส่งผลต่อพฤติกรรมการสะสมของมนุษย์มากมายที่มาพร้อมกับวลี “ของมันต้องมี” ที่ทำให้ใครหลายคนไขว่คว้าอยากจะมีให้ครบเซตกัน พร้อมกับได้สร้างตลาดอาร์ตทอยที่ศิลปินหลาย ๆ ท่านหันมาทำงานศิลปะเล็ก ๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย และอาศัยกลไกความอยากได้อยากมาของมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อน

สำหรับในสัปดาห์นี้ All About History อยากจะขอพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการสะสมของมนุษย์ให้มากขึ้น ตั้งแต่การสะสมสิ่งของทั่วไป วัฒนธรรมกาชาปองกับฟิกเกอร์โมเดลและอาร์ตทอยกล่องสุ่ม ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ และแง่ของสังคมวิทยา ตลอดจนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้มากขึ้นกัน

-----

 

การสะสมนั้นสำคัญไฉน? ว่าด้วยประวัติศาสตร์แห่งการสะสมโดยสังเขป

เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะมีของสะสมเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นโดยที่บางทีแล้วเราอาจจะไม่รู้ตัวก็มีเหมือนกัน อย่างตัวผู้เขียนเองปัจจุบันนี้นิยมสะสมหนังสือและโปสการ์ด ในขณะที่เมื่อยังเยาว์วัยจะมีสมุดสะสมสติ๊กเกอร์เอาไปแลกของเล่นซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางของเล่นที่ค่อนข้างฮิตมากในอดีต และเป็นอะไรที่ใกล้เคียงและน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมกาชาปองอยู่เหมือนกันที่ต้องเปิดกล่องสุ่มหาสติ๊กเกอร์หายากใบเดียวที่มีลายเซ็นต์ของผู้ผลิตกำกับอยู่

การสะสมเป็นอะไรที่อยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์มาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้น โดยในสมัยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย การสะสมเป็นความนิยมของผู้มีอันจะกินที่ไปแสวงหาของหายากมาดูเล่น หรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างอย่างหอสมุดอเล็กซานเดรีย ก็นับว่าเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับนิยามของการสะสมอยู่เหมือนกันจากการที่ไปแสวงหาหนังสือทั่วโลกมาสะสมไว้เป็นคลังความรู้

การสะสมจึงเป็นมากกว่าแค่การเก็บไว้ดูเล่น หากแต่เป็นการแสวงหาไขว่คว้าบางสิ่งเพื่อเติมเต็มบางอย่าง ในกรณีของหอสมุดอเล็กซานเดรียก็คือการไขว่คว้าซึ่งความรู้ เพื่อเติมเต็มความอยากรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี่เอง

การสะสมได้เริ่มผันแปรมาเป็นการสะสมเพื่อจัดแสดงในสมัยเรอเนซองส์ ซึ่งมีการอุปถัมป์งานศิลปะ ตลอดจนเกิดเทรนด์นิยมสะสมที่เรียกว่า “ตู้พิศวง” (Cabinet of Curiosity) ขึ้นมา ซึ่งเป็นการแสวงหาสิ่งของที่มองว่าแปลกตาและน่าดู มาสะสมกันแล้วจัดใส่ตู้โชว์

ของสะสมแต่เดิมเป็นของส่วนตัวก่อนที่จะเผยกายออกสู่สายตาของสาธารณะในฐานะนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ ที่ผู้ชมกระหายใคร่รู้และใคร่เห็นสิ่งสวยงาม โดยต่อมาในศตวรรษที่ 19 การสะสมก็เป็นอะไรที่นิยมมากขึ้น และใคร ๆ ที่มีรสนิยมหน่อยก็ชอบสะสม ตั้งแต่กระเบื้องเครื่องถ้วย ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือน

จากตู้พิศวง การสะสมก็ได้มีพัฒนาการในบริบททางวัฒนธรรมของมนุษย์เรื่อยมา ประวัติศาสตร์ของการสะสมแทบจะไม่มีอะไรเลยเนื่องจากว่ามันเป็นเส้นตรงมาโดยตลอด คนทุกยุคสมัยต่างเก็บสะสมบางอย่าง ซึ่งนั่นได้สะท้อนให้เห็นว่าคนเราให้คุณค่ากับสิ่งของเหล่านั้น

-----

“วัตถุที่ถูกรัก” สายคนสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งของ

ฌ็อง โบดริยาร์ (Jean Baudrillard) ได้กล่าวถึงนิยามของวัตถุ โดยอ้างอิงจากพจนานุกรมฝรั่งเศสของเอมิล ลิเตร (Émile Littré) ซึ่งได้ให้นิยามวัตถุ (Objet) เอาไว้ว่า “สิ่งใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เกิด หรือเป็นสาเหตุแห่งความปรารถนา หรืออุปมาในอีกทางหนึ่งว่าเป็นวัตถุที่ถูกรัก”

โบดริยาร์ได้ขยายความถึงฟังก์ชั่นหรือกลไกของสิ่งของเอาไว้ใน 2 รูปแบบ คือเป็นสิ่งที่ถูกใช้ กับเป็นสิ่งที่ถูกครอบครอง ถ้าจะให้อุปมาก็คงจะเป็นที่บ้านผมมีแก้วอยู่ 2 ใบ ใบหนึ่งผมรักมันมากและใช้งานมันทุกวัน ในขณะที่อีกใบหนึ่งมันอยู่ในตู้เก็บแก้ว และแทบไม่ได้หยิบเอามาใช้เลย ฟังก์ชั่นของวัตถุมันเป็นแบบนั้น ซึ่งเจ้าสิ่งที่เราแทบไม่ได้หยิบใช้งาน มันเป็นสิ่งที่เราครอบครอง หรือถ้าพูดอีกอย่าง ก็คือมันเป็นสิ่งที่ถูก “สะสม” เอาไว้นี่เอง

ถ้ายึดเอาตามแนวคิดของโบดริยาร์ เราจะพบว่าของสะสมก็คือของที่ไม่ได้ถูกนำออกมาใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ ล้วนแต่เป็นของสะสมทั้งสิ้นจนกระทั่งในช่วงเวลาหนึ่งที่เราหยิบมาใช้มันถึงได้กลายเป็นของใช้ขึ้นมา การใช้เป็นการให้คุณค่าอย่างหนึ่ง การเก็บเอาไว้ก็เป็นการให้คุณค่าอีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน โดยปกติแล้วพฤติกรรมการสะสมมักเกิดขึ้นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) มีทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการสะสมที่แปลกและวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องของเพศตามสไตล์ของเขา ในทฤษฎีลำดับขั้นของพัฒนาการตามหลักการของฟรอยด์บอกว่าพฤติกรรมสะสมเกิดขึ้นมาในขั้นทวารหนัก ที่เขาบอกว่าถ้าพ่อแม่บังคับให้ลูกขับถ่ายเป็นเวลา หรือขับถ่ายในที่ที่ถูกกำหนดไว้ จะทำให้เมื่อโตขึ้นมา จะกลายเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ชอบสะสมของ ตระหนี่ หวงของ ชอบนั่งที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ เจ้าระเบียบ จู้จี้ ไม่ยอมใคร อะไรแบบนั้น

ตลอดจนยังมีมุมมองถึงการสูญเสียบางอย่าง เช่นในทฤษฎีเฟติชของฟรอยด์ ก็มองว่าเป็นการพยายามหาวัตถุบางอย่างมาแทนเครื่องเพศที่ขาดหายไปจากปมกลัวการถูกตอนในเด็กชาย สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าพฤติกรรมการสะสมเกิดขึ้นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ฌาร์ค ลาก็อง (Jacques Lacan) มีแนวคิดที่สืบต่อและเชื่อมโยงกับแนวคิดของฟรอยด์ อย่างไรก็ดีการเกิดขึ้นของพฤติกรรมสะสมในแนวคิดของลาก็องมันเกิดขึ้นมาที่ขั้นกระจก ที่ซึ่งเด็กชายได้มองเห็นตัวเองในกระจกและมองคนในกระจกนั้นคือความเป็นอื่น เป็นความเป็นอื่นที่สมบูรณ์แบบและเด็กชายอยากที่จะสมบูรณ์แบบเหมือนร่างในกระจกจึงพยายามที่จะไขว่คว้าอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม

ตลอดจนยังไปเกี่ยวโยงกับเรื่องของปมโอดิปุสด้วย อย่างไรก็ดีการไขว่คว้าครอบครองบางอย่างในแนวคิดของลาก็องนั้น เขาให้นิยามว่าเป็นวัตถุที่ไม่อาจเติมเต็มได้ ยังไขว่คว้า ก็ยังอยากที่จะครอบครองไม่จบไม่สิ้นเป็นวัฏจักรวนไปอยู๋อย่างนั้น

เรื่องของวัตถุกับคนในอีกทฤษฎีก็คือในทฤษฎีวัตถุแห่งการเปลี่ยนผ่านของโดนัลด์ วินนิคอต (Donald Woods Winnicott) ซึ่งพูดถึงการเปลี่ยนผ่านของเด็ก เมื่อเด็กคลอดออกมาเด็กเกิดมิติลวงที่เชื่อไปว่าเขานั้นเป็นหนึ่งเดียวกันกับแม่ แต่แล้วเมื่อเด็กรู้สึกตัวได้ว่าแม่ของเขาเป็นเอกเทศ เป็นอีกตัวตนหนึ่งที่ไม่ใช่ของเขา เด็กก็จะแสวงหาบางสิ่งบางอย่างมาเติมเต็มสายใยที่ผูกกันระหว่างแม่กับลูกเอาไว้ นั่นเองคือที่มาของตุ๊กตาตัวโปรด ผ้าเหม็น หรือหมอนเหม็นขึ้นมา

ในมุมมองของนักคิดทั้งทางสังคมวิทยาและจิตวิเคราะห์ต่างมองว่าถึงคุณค่าของวัตถุและการสะสมว่าเป้นการเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป ความที่มันไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นี่เอง ที่ทำให้เกิดการพยายามสะสมเพื่อให้เกิดเป็น “ของมันต้องมี” ขึ้นมา

ของสะสมในยุคแรกเริ่มเป็นของสะสมที่เน้นไปที่ความสวยงาม หายาก แปลกใหม่ พบเห็นไม่ได้ทั่วไป เป็นการสะสมสิ่งของที่เป็นประเภทเดียวกันอย่างเช่นโปสการ์ด แสตมป์ เหรียญ ธนบัตร ในขณะที่การสะสมในยุคสมัยใหม่จะเน้นไปที่ความเป็น “ซีรีส์” ที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกันของวัตถุสะสมกันมากขึ้น

-----

วัฒนธรรมกาชาปอง เมื่อความไม่สมบูรณ์คือช่องทางทำเงิน

การสะสม ถ้าไม่มีจุดหมายก็คงไม่ได้มีอะไรที่ขับเคลื่อนมากพอ แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้คนลงเงินเพื่อครอบครองวัตถุสะสมอย่างสม่ำเสมอ? ก็ทำอะไรที่เป็นชุด แล้วต้องพึ่งพาดวงในการได้ครอบครองให้ครบชุดสิ นี่เองที่ทำให้เกิดการสะสมในรูปแบบของกาชาปองขึ้นมา

กาชาปอง เกิดขึ้นมาในช่วงทศวรรษที่ 1960s โดยได้โมเดลมาจากตู้หมุนหยอดเหรียญของทางฝั่งตะวันตก ที่มักจะเป็นเครื่องขายลูกอมหรือหมากฝรั่งกลม ๆ พอหยอดเหรียญแล้วหมุนลูกหมากฝรั่งกลม ๆ ก็จะกลิ้งลงมา ถ้าให้ยกตัวอย่างแบบไทย ๆ เลยก็จะเป็นเจ้าเครื่องหมุนในร้านโชว์ห่วยที่หยอดเหรียญแล้วบิดก็มีถั่วมีลูกอมรสส้มมีลูกบอลพลาสติกที่ใส่ของเล่นหล่นลงมาแล้วแต่ดวงว่าจะได้อะไร ซึ่งเป็นแนวคิดยุคบุกเบิกของตู้กาชาปองเลย

โดยกาชาปองได้เริ่มต้นในญี่ปุ่นโดยริวโซ ชิเกตะ ซึ่งได้ขายของเล่นโดยการเอาตัวฟิกเกอร์ใส่ลูกบอลแคปซูนสีใสใส่ในเครื่องหมุนเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นตัวสินค้าก่อน ซึ่งก็แพร่หลายเป็นอย่างมาก และเกิดแนวคิดที่จะไม่ขายสินค้ารูปแบบเดียวแต่เอาเป็นสินค้าหลายรูปแบบมาใส่ในตู้แล้วให้สุ่มวัดดวงเอา

ยุคทองของกาชาปองในยุคแรกเริ่มได้มาเป็นที่นิยมสูงสุดเมื่อบริษัทบันได บริษัทของเล่นเจ้าดังได้โดดมาร่วมวง และเอาสินค้าลิขสิทธิ์อย่างตัวละครจากอนิเมะหรือเกมมาทำเป็นเวอร์ชั่นตัวเล็ก ๆ น่าสะสม

ซึ่งด้วยความที่ว่ามาจากเกมหรืออนิเมะเรื่องเดียวกัน ทำให้เกิดการเป็นชุดเป็นซีรีส์ และดึงดูดความรู้สึก “ของมันต้องมี” ได้อย่างดีเยี่ยม เกิดเป็นการสร้างคอลเลคชั่นจากกาชาปอง และเป็นต้นแบบให้กับการสะสมในยุคใหม่ ที่ไม่ได้สะสมสิ่งที่แปลกสิ่งที่สวยงามไปเรื่อยอย่างเดียว หากแต่สะสมสิ่งที่เป็นชุด เป็นซีรีส์ของมันเองในรูปแบบของวัฒนธรรมประชานิยมร่วมสมัยขึ้นมา

-----

จากกาชาปองสู่กล่องสุ่มอาร์ตทอย

โมเดลการค้าแบบกาชาปองเป็นอะไรที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ จนนำมาสู่การประยุกต์สู่อย่างอื่น อาทิ เกมกาชาปองที่จะสุ่มตัวละครเก่ง ๆ อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งรูปแบบของกาชาปองที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในปัจจุบันก็คือกล่องสุ่ม โดยเฉพาะกับกล่องสุ่มอาร์ตทอยที่เป็นการสะสมตัวละครจากคอลเลคชั่นของศิลปินที่ชื่นชอบขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีอาร์ตทอย เราก็มีการสะสมพวกฟิกเกอร์ตัวละครมากก่อน อย่างเช่นในโมเดลของเล่นของแถมจากเซตแฮปปี้มีลของแมคโดนัลด์

อย่างไรก็ดีการสะสมโมเดลในยุคก่อนหน้านั้น โมเดลมันเป็นอะไรที่มีที่มาจากสื่ออื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมมาก่อนแล้วทั้งเกม อนิเมะ ละคร แต่กับอาร์ตทอยมันเป้นอะไรที่สดใหม่ ไม่ได้เป็นอะไรที่คนรู้จักมาจากสื่ออื่นก่อน ทำให้อาร์ตทอยเป็นของสะสมที่มีเสน่ห์ในตัวเองผ่านฐานะของวัตถุที่พึ่งพาความสวยงาม น่ารัก และน่าสะสม ไม่ว่าจะเป็นลาบูบู้ มอลลี่ ครายเบบี้ เป็นต้น

ปรากฏการณ์ของอาร์ตทอยฟีเวอร์นับว่าเป็นบทใหม่ของวัฒนธรรมการสะสมของมนุษย์ที่เราสามารถเห็นได้ถึงพัฒนาการที่เกิดขึ้น และการรู้จักทำธุรกิจจากพฤติกรรมพื้นฐานที่มีในมนุษย์ เป้นอีกหนึ่งตัวอย่างของพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมส่วนนั้นของมนุษย์ขึ้นมาในอีกทางหนึ่ง เมื่อมองย้อนจากอดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว กรณีของป็อบมาร์ทเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เราเห็นว่าความนิยมสะสมบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์ไม่เคยหายไปไหนตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลยทีเดียว…

-----

เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา

ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด

════════════════

 

 

ที่มา..  Bnomics by Bangkok Bank 


การ์ตูน