ห้องเม่าปีกเหล็ก

เทรดอย่างไร ให้ชนะตลาด SET Index

โดย PreedaZafilos
เผยแพร่ :
68 views

 

ทำไมเทรดติดดอย

  กราบสวัสดีแฟนเพลง LOL ไม่ใช่ สวัสดีนักลงทุนทุกท่าน ไม่ว่า  สาย Day Trade  สาย VI  สายเน้นปันผล  อะไรก็แล้วแต่ วันนี้ ผมจะมาเปรียบเทียบว่า ทำไมนักเทรดส่วนใหญ่จึงติดดอย และติดดอยมาจากสาเหตุอะไร

  เมื่อ Trader ล้วนศึกษาตำรามาจากเล่มเดียวกัน เรียนรู้ อบรม ศึกษา จากกูรู อาจารย์ หรือ แม้แต่สถาบันเดียวกัน  บางทีก็ฟังนักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ คนเดียวกัน  ดูช่องให้ความรู้การเทรดช่องเดียวกัน แต่ทำไม เทรดได้กำไร ขาดทุน ต่างกัน

  ทั้งหมด ทั้งมวล ที่ทำให้ติดดอย ขาดทุน มาจากความไม่รู้  การมโนคิดไปเอง หาเหตุผลต่างๆ นาๆ มาทำให้แนวคิดของตัวเองถูกต้อง และมองโลกในแง่บวกมากเกินไป มีการรีเบราวด์หน่อย ก็มองว่ากลับตัว  มองการลงเยอะๆ ว่าสักพักจะดีดกลับแรง  หรือ บางทีคิดว่าที่มันลงแรงๆ เพราะข่าวโน่น นี่ นั่น  จริงๆ ควรเข้าใจการขึ้นลงของ SET Index และ หุ้นแต่ละตัว ก่อนที่จะมีข่าว หรืออะไรมาเสริมให้ไปในทิศทางนั้น เร็วขึ้น ด้วยซ้ำครับ

  แต่เราไม่มองว่า Trader ที่ติดดอย เป็นผู้ไม่รู้ เพียงแต่ แค่มีความโลภมากไปหน่อย  และหากมองในอีกแง่มุม หากไม่มี Trader ที่ติดดอยมากๆ ไหนเลยที่ Trader กลุ่มเล็กๆ จะได้กำไรมากๆ จากตลาด ท่านว่าจริงไหม  และในทุกตลาด มักแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 

  1. ผู้ชนะตลาด หรือ ผู้ที่สามารถทำกำไรได้มากๆ จัดอยู่ในกลุ่ม 10% ในตลาด

  2. ผู้ที่ได้กำไรบ้าง ติดดอยบ้าง ขาดทุนบ้าง  จัดอยู่ในกลุ่ม 90% ในตลาด

 การที่ Trader จะอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง มันไม่ได้ถูกบีบบังคับ หรือ ยัดเยียด ให้อยู่ในกลุ่มนั้นๆ เพียงแต่ มันมาจากพฤติกรรมการเทรด ความโลภ ความกลัว และการมองตลาด มองหุ้น ต่างหาก

 

แล้วจะปรับตัวอย่างไร ไม่ให้ติดดอยง่าย ขาดทุนเร็ว

1. ท่านต้องทำความเข้าใจ ศึกษา เกี่ยวกับพื้นฐานของหุ้น ดูงบการเงิน ดูบัญชี เป็น  รู้ว่าหุ้นไหนมีพื้นฐานดี เติบโตได้ดี  รู้ทรัพย์สิน หนี้สิน ที่แท้จริงของบริษัท

2. ท่านต้องติดตามข่าวที่มีผลต่อการลงทุน ความโลภ ความกลัว ของ Trader  แต่อย่าเอาข่าวมาใช้เป็นข้ออ้างว่า ติดดอยเพราะข่าวนั้น ข่าวนี้ เพราะหากเข้าใจทางเทคนิค จะเข้าใจว่า ข่าวเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหว ไปในทิศทางนั้นเร็วขึ้น

3. อย่ามองว่าการรีเบราวด์แต่ละครั้ง  รีเบราวด์ในเทรนขาลงใหญ่ Down Trend ว่าเป็นการกลับตัวที่มีนัยสำคัญ เพราะจะทำให้ท่านติดดอยได้ง่าย ไม่ว่า SET Index หรือ หุ้น จะขึ้น หรือ ลง ย่อมมีการปรับตัว รีเบรานด์ เป็นระยะๆ

4. เครื่องมือที่จะทำให้ท่านเทรดได้ดี ไม่ใช่ SMA , EMA , RSI , MACD , Volume หากแต่เป็น กราฟแท่งเทียน Candle Stick เพียวๆ  ท่านต้องมองให้ออก ว่าการเคลื่อนที่ของกราฟ มันจะไปทิศทางไหน เข้าใจจิตวิทยาแนวรับ แนวต้าน  เข้าใจพฤติกรรม Player ในตลาด  เข้าใจความโลภ ความกลัว ของนักลงทุน

5. ข้อนี้ อาจยากหน่อย แต่ท่านต้องไปศึกษา และค้นหาให้เจอ  ท่านต้องเข้าใจ ว่า SET Index หรือ แม้แต่หุ้น ตัวนั้นๆ  ไปต่อไม่ได้แล้ว คล้ายๆ กับ Overbought แต่ไม่ใช่  มันมีมากกว่านั้น ท่านจะรู้ว่า SET Index มันไปต่อได้ที่จุดไหน ก่อนจะปรับตัวลง  และต่อมา  ต้องเข้าใจจุด Divergence  แน่นอน ก็ผมบอกว่า เราต้องเข้าใจว่าไปต่อได้ถึงจุดไหน และเมื่อมีการปรับตัวลง เราก็จะเข้าใจจุด Divergence ที่เปลี่ยนจากขาขึ้นใหญ่ เป็นขาลงใหญ่ นั่นเอง  กลับกัน เมื่อ SET Index หรือ หุ้น รายตัว ที่ลงมากๆ คล้ายๆ กับ Oversold แต่ไม่ใช่  ท่านต้องรู้ว่าลงได้ถึงจุดไหน แล้วลงต่อไม่ได้ และแน่นอน ท่านจะเข้าใจจุด Divergence ในการกลับตัวเป็นขาขึ้น และท่านต้องเข้าใจก่อนที่กราฟแท่งเทียน จะทำ Double Top ในขาขึ้น หรือ Double Buttom ในขาลง จะเกิดเลยครับ อันนี้ท่านต้องไปศึกษา ทำความเข้าใจเอาเองครับ

6. ตัว M และ W ไม่ว่า Day , Week  มีความสำคัญ ตัว M คือ การเกิด Double Top   ส่วนตัว W  คือการเกิด Double Buttom  มีผลต่อการเทรด และการเคลื่อนตัวของกราฟ

7. เข้าใจจุด Panic Sell ของ SET Index หรือ หุ้นรายตัว ว่าจุดไหน คือ จุดที่ทำให้นักลงทุนเทขาย หนีตาย หนีดอย  พื้นฐานง่ายๆ คือ จุดที่หลุดแนวรับ ไม่ว่า Time Frame 4 ชั่วโมง  , Day หรือ Week  หากทดสอบแนวรับ 2 ครั้ง เอาไม่อยู่ หลุดแนวรับ ก็จะเกิดการเทขายแรง ราคาร่วงอย่างเห็นได้ชัด  หรือ มีการทดสอบแนวรับ ถึง 3 ครั้ง  ทดสอบครั้งที่ 1 กราฟ เด้งขึ้น ไปแตะแนวต้าน แล้วร่วงลงมา ทดสอบ แนวรับครั้งที่ 2 ไม่หลุด แต่เด้งขึ้น แต่เด้งขึ้นไปแค่ 50% ของแนวต้าน ที่เคยไปทดสอบก่อนหน้า แล้วเริ่มร่วง แบบนี้ แนวรับครั้งที่ 3 มีโอกาสหลุดสูง รีบเผ่น เทขายทำกำไร หรือ ขายหนีดอยไปก่อน อะไรที่เป็นจุดที่ทำให้เกิด Panic Sell ให้ท่านเรียนรู้ ทำความเข้าใจ รู้ก่อนที่จะเกิด Panic Sell ง่ายๆ เช่น เส้น EMA 100 วัน  200 วัน ลงไปแตะแล้วไม่เด้งแรง กลับ Sideway Down เป็นต้น

8. ท่านต้องเข้าใจว่า ทำไมนักลงทุนถึงเทขายหุ้นไทยแรงๆ มาตั้งแต่ต้นปี  ซึ่งตอนนั้น ก็ไม่ได้มีข่าวอะไรมาเสริม พอมีข่าวมาเสริม ยิ่งเป็นการเร่งให้ขายเพิ่มมากขึ้น ขายต่อเนื่อง อาจทำให้เทขาย 7 - 9 เดือน จนกว่า SET Index จะจบรอบลงใหญ่ๆ แล้วเป็น Divergence ขาขึ้นอีกที และมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หากมันเป็นช่วงที่กำลังมีการเลือกตั้งพอดี การเทขายของนักลงทุนต่างชาติ มาจากทั้งปัจจัยพื้นฐาน มาจากเทคนิคเคิลเพียวๆ  ในต้นปี ข่าวที่ส่งผลต่อ SET Index ด้านลบยังไม่มีเยอะ หุ้นไทยเติบโต ตัวเลขทุกอย่างดีหมด  Fed ยังไม่ได้ประกาศการขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้าระห่างจีน-อเมริกา ยังไม่รุนแรง ทำไมนักลงทุนต่างชาติเทขายมาตลอด เพราะเขาเข้าใจ จุดที่จะลงทุน หรือ ทำกำไร นั่นเองครับ

9. เชื่อตัวเองมากไป ก็อาจทำให้ขาดทุน เชื่อโบรกมากไปก็อาจทำให้ติดดอย ฟังนักวิเคราะห์มากไป ก็อาจทำให้สับสน  ที่สุดแล้ว ท่านต้องฝึกประสบการณ์ อย่างมองแต่การทำกำไร มากไปกว่าการรักษาต้นทุน หากท่านเข้าใจจริงๆ ท่านจะไม่ต้องใช้จุด Stoploss เลย เพราะยังไง มันก็ไม่ลงมาจุด SL ที่ท่านตั้ง หากท่านเทรดถูกจุด ถูกที่ ถูกเวลา และเข้าใจกราฟอย่างแท้จริง

 10. การเทรดใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต่อให้จบ Doctor ด้านการลงทุน การเทรด  ไม่มีศิลป์ ก็ทำให้ขาดทุนยับได้  มีแต่ศิลป์ ไม่มีศาสตร์ เทรดช้อนซื้อตัวไหน ก็อาจพลาดติดดอยได้ง่ายๆ  ค่าของคนดูที่ผลของงาน  เทคนิคการเทรดของท่านจะดีหรือไม่ ดูที่ผลของกำไร  ศึกษา ตำรามาร้อยเล่ม ก็อาจไม่เท้ากับการเข้าใจแท่งเทียน Candle Stick เพียวๆ เข้าใจพฤติกรรมนักลงทุน เข้าใจจิตวิทยาแนวรับ แนวต้าน เข้าใจความโลภ ความกลัว ของ Player ในตลาด

 11. อย่าเทรดแบบยึดแต่ สายใดสายหนึ่ง บางคนสาย VI ก็ VI ตลาด  บางคนสายปันผลก็มุ่งเน้นแต่ปันผล  บางคนเน้นเทรดหุ้นใหญ่ก็ไม่ไปสนใจหุ้นเล็ก บางคนมองแต่ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ใส่ใจเทคนิคเคิล  บางคนเทคนิคเคิลก็ไม่ใส่ใจปัจจัยพื้นฐาน  บางคนเทรดระยะกลาง-ระยะยาว ก็ไม่สนใจ Day Trade  จริง แล้วท่านควรศึกษาทั้งหมดไว้ เพราะทุกอย่าง จะทำให้ท่านมองภาพรวมของตลาด มองราคาหุ้นแต่ละตัวได้แม่น เข้าใจการเคลื่อนที่ของราคา ของกราฟ

 12. เราเข้าใจว่าการเคลื่อนที่ของ SET Index หรือ หุ้นรายตัว เคลื่อนไปตาม พฤติกรรมการเทรดของนักลงทุน  ความโลภ ความกลัว  จิตวิทยาแนวรับ แนวต้าน ข่าวสาร ปัจจัยพื้นฐาน Volume และเม็ดเงินที่อยู่ในตลาด เหนือสิ่งอื่นได้ การพักตัว การรีเบราวด์ การเด้ง การ Sideway แต่ละจุด มันมาจาก ตัวเลขทางคณิศาสตร์ ที่อ้างอิง กับ พฤติกรรมการเทรดของนักลงทุน  ความโลภ ความกลัว  จิตวิทยาแนวรับ แนวต้าน  Volume และเม็ดเงินที่อยู่ในตลาด มันจึงส่งผลให้สามารถคำนวณทิศทางราคา ทิศทางกราฟ ก่อนที่จะมีข่าว หรือ ปัจจัยอื่น มาเสริมได้ครับ

 

ขอบคุณครับ

 


PreedaZafilos