สศช. เผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 3/65 ยังสูง หนี้เสียบัตรเครดิตกลุ่มเริ่มทำงานพุ่ง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 3 ปี 2565 ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยหนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.90 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% จาก 3.5% ของไตรมาสก่อน เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 86.8% ลดลง 88.1% จากไตรมาสที่ผ่านมา
โดยหนี้ครัวเรือนขยายตัวในทุกประเภทสินเชื่อ โดยสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัว 11.8% จาก 8.8% ในไตรมาสก่อน สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับขยายตัว 21.4% จาก 25.1% ในไตรมาสก่อน หนี้สินเชื่อ ยานยนต์ขยายตัว 1.2% จาก 0.3% ในไตรมาสก่อน ขณะที่สินเชื่อสังหาริมทรัพย์ขยายตัว 4.1% สินเชื่อยานยนต์ขยายตัว 1.2% และสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจขยายตัว 3.4% จากไตรมาสก่อนหน้า
“หนี้ครัวเรือนขยายตัวในทุกประเภทสินเชื่อ โดยสินเชื่อบัตรเครดิตและ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับขยายตัวในอัตราสูง โดยสินเชื่อที่ขยายตัวสูงคือส่วนบุคคลในไตรมาส 3 ปี 65 อยู่ที่ 21.4% เป็นการขยายตัว เกินกว่า 20% ติดต่อกัน 4 ไตรมาส”
สำหรับคุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังคงทรงตัว โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไตรมาสสี่ ปี 2565 มีสัดส่วน 2.62% ต่อสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (SML) หรือสินเชื่อค้างชำระน้อยกว่า 3 เดือน พบว่า สินเชื่อกล่าวถึงพิเศษในสินเชื่อรถยนต์มีสัดส่วนสูงถึง 13.7% ของสินเชื่อรวม
“ลูกหนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีมูลค่า NPL ของสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัว โดยขยายตัว 2.5% เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลลูกหนี้กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปมียอด NPL สูงและมีหนี้เสียต่อ บัญชีสูงถึง 77,942 บาท ขณะที่สินเชื่อยานยนต์สินเชื่อยานยนต์ กลุ่มลูกหนี้อายุ 30-49 เป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการชำระหนี้สูงที่สุด มีมูลค่าหนี้เสียคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 59.2% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่นๆ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องจับตาให้ระมัดระวังในการก่อหนี้เนื่องจากเป็นกลุ่มแรงงาน”
นอกจากนี้ จากข้อมูลเครดิตบูโร พบว่า ลูกหนี้เสียจากผลกระทบของ COVID-19 ยังมีปริมาณมาก แม้สถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลายลง โดยโดยในไตรมาส 3 ปี 65 มีมูลหนี้เสียจากผลกระทบของ COVID-19 ที่ 4.0 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.2 แสนล้านบาท ของไตรมาส 1 ปี 65 และบัญชีหนี้เสียเกือบ 60% มาจากสินเชื่อส่วนบุคคล
“ยังตอบไม่ได้ว่าลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียจาก COVID-19 จะไปแตะจุดสูงสุดเมื่อไร แต่ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ได้แก้ปัญหาหนี้เสียอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์หนี้เสียจะปรับดีขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว”
ทั้งนี้ในระยะถัดไปมีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญ คือ 1. การเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณการผิดชำระหนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการตกชั้นของลูกหนี้ที่มีจำนวนมาก และ 2. การมีมาตรการเฉพาะเจาะจงในการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เสียจากผลกระทบของ COVID-19 เพื่อลดจำนวนลูกหนี้เสียไม่ให้เพิ่มขึ้นในระยะถัดไปและรักษาสถานะลูกหนี้ให้อยู่ในระบบการเงิน