ห้องเม่าปีกเหล็ก

S&P 500 กับ Dow Jones - อะไรเป็นตัวแทนตลาดสหรัฐได้ดีกว่ากัน

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
67 views

S&P 500 กับ Dow Jones - อะไรเป็นตัวแทนตลาดสหรัฐได้ดีกว่ากัน
6 พ.ย. 2561 / 02.54 น.

ที่มา : Wattana Stock Page

ทุกเช้าเรามักจะตื่นมาแล้วเปิดดูกันก่อนว่า เมื่อคืนนี้ "ดาว" เป็นอย่างไร หรือก็คือ ดันชีค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones นั้นเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด

ถ้า Dow บวกเยอะ เราก็จะเข้าใจว่า ตลาดสหรัฐบวกเยอะ และถ้า Dow ลบเยอะ เราก็เข้าใจในทางตรงกันข้าม

แต่เอาเข้าจริงแล้ว DJIA หรือชื่อเต็มๆว่า Dow Jones Industrial Average นั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐที่ครอบคลุมเลย เพราะว่าในดัชนีนั้นประกอบด้วยหุ้นเพียงแค่ 30 ตัว

ตลาดหุ้นสหรัฐหลักๆแล้วมี 2 ตลาด ก็คือ NYSE (New York Stock Exchange) และ Nasdaq

ในยุค dot com นั้น บริษัททางด้านธุรกิจอินเตอร์เนตนิยมที่จะไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq จนเมื่อก่อนหลายคนเข้าใจกันว่า ตลาดหุ้นแห่งนี้เป็นตลาดสำหรับหุ้น dot com ทั้งหลายเท่านั้น

ซึ่งในช่วงแรกๆมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆนั่นล่ะ

แต่มาภายหลัง ก็มีหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมากมายที่เลือกที่จะจดทะเบียนใน Nasdaq เพราะจะว่ากันไปแล้ว ทั้ง NYSE กับ Nasdaq ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งแย่งชิงลูกค้าที่จะเข้าไปจดทะเบียนกัน

NYSE กับ Nasdaq จึงไม่เหมือนกับ SET กับ MAI ของไทยโดยสิ้นเชิง

DJIA เป็นดัชนีที่มีมานานแล้ว โดยเป็นความพยายามในการคัดเลือกหุ้น 30 ตัวที่ทางบริษัทคิดว่ามีความโดดเด่นและสามารถจะเป็นตัวแทนของตลาดได้มาใช้ในการคำนวณ

ในยุคแรก นอกจากดัชนีอุตสาหกรรม แล้ว ยังมีดัชนีขนส่ง หรือ Dow Jones Transportation Average ด้วย ซึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะต้องใช้ 2 ดัชนีควบคู่กัน

แต่เนื่องจากภาคการขนส่งไม่ได้มีความสำคัญในยุคหลังๆ ดัชนีขนส่งจึงไม่มีคนให้ความสนใจ คงเหลือไว้เพียงแค่ดัชนีอุตสาหกรรมเท่านั้น

การเลือกหุ้นที่จะเข้ามาบรรจุใน DJIA นั้น ทางบริษัทที่ทำดัชนีจะเป็นคนเลือก ซึ่งหุ้นเกือบทั้งหมด จะมาจากตลาด NYSE และมีหุ้นเพียงไม่กี่ตัวที่มาจาก Nasdaq

นั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าดัชนี DJIA มีขึ้นก่อนการเกิดขึ้นของ Nasdaq และการคัดเลือกหุ้นเข้าหรือออกจากการคำนวณดัชนีนั้น ทางบริษัทผู้จัดทำดัชนีใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก และมีความพยายามในการเลือกหุ้นจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม

โดยดัชนี DJIA นั้น จะมีการกำหนดค่าตัวแปรตัวหนึ่งซึ่งคิดมาจากสูตรคำนวณ เพื่อให้เป็นตัวคูณว่า 1 ดอลลาร์ของราคาหุ้น 30 ตัวนี้ที่เปลี่ยนไป จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของดัชนีเท่าไหร่

DJIA จึงเป็นดัชนีที่ "ให้ความสนใจเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของราคา" ของหุ้น 30 ตัวที่ถูกรวมคำนวณเท่านั้น

แต่ถ้าจะบอกว่า DJIA เป็นดัชนีที่ไม่มีการถ่วงน้ำหนัก มันก็ไม่ใช่ แต่การถ่วงน้ำหนักของดัชนี ถูกคำนวณโดยผู้จัดทำดัชนีมาให้แล้ว โดยราคาของหุ้นทุกตัวจะถูกคูณด้วยค่าตัวแปรที่คำนวณไว้อย่างคงที่

แม้จะเป็นการเลือกหุ้นมาเพียงแค่ 30 ตัว แต่น่าแปลกเป็นอย่างมาก ที่ดัชนี DJIA นั้น สามารถเป็นตัวแทนของหุ้นทั้งตลาดของสหรัฐได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ขั้นตอนการเลือกหุ้นและการได้มาซึ่ง "ค่าคงที่" ดังกล่าว ที่มีความซับซ้อนอย่างมากและมีเงื่อนไขในการเลือกค่อนข้างมาก

ประกอบกับก่อนหน้านี้ ตลาด Nasdaq ยังมีขนาดไม่ได้ใหญ่มากเหมือนปัจจุบัน การเลือกหุ้นเพียงไม่กี่ตัวจาก Nasdaq เข้าไปรวมคำนวณ DJIA (หรือ Dow 30) ก็เพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของภาพรวมตลาดหุ้นของสหรัฐได้

S&P 500 เป็นดัชนีที่จัดทำขึ้นโดย S&P โดยการคัดเลือกเอาหุ้น 500 ตัว จากกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 2 ตลาด นั่นหมายความว่า 500 ตัวที่ถูกเลือกนั้น ก็จะมีทั้งที่มาจาก NYSE และ Nasdaq และจัดเรียงตามลำดับที่การจัดทำดัชนีกำหนดเอาไว้

การได้กลุ่มตัวอย่างที่มากกว่า เพราะมีหุ้นที่บรรจุในดัชนีถึง 500 ตัว ทำให้ใน S&P500 นั้นมีการแบ่งเป็นกลุ่มอุตสากรรมย่อยๆได้มากกว่า 10 หมวด

โดยดัชนี S&P500 นั้นเป็นดัชนีชนิด "ถ่วงน้ำหนัก" ด้วยมูลค่าตลาด นั่นคือหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงก็จะมีน้ำหนักต่อดัชนีมาก หุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่า ก็จะมีน้ำหนักต่อดัชนีน้อยกว่า

ถ้าต้องการเทียบ S&P500 ก็เหมือนดัชนี SET50 SET100 บ้านเรานั่นล่ะ

เมื่อก่อนนี้ เช้าตื่นมา ถ้าเราดูดัชนีหลัก 3 ตัวของสหรัฐ คือ Dow S&P500 Nasdaq เราก็จะมักเห็นว่า มันจะคล้อยไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการดูเพียงแค่ Dow ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมาได้

แต่ในปัจจุบันนี้ หุ้นที่มีการเติบโตโดดเด่นมาตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือหุ้นในกลุ่ม FAANG หรือ Facebook Amazon Apple Netflix และ Google (บริษัทลูกของ Alphabet) ซึ่งเป็นหุ้นที่ล้วนแล้วแต่จดทะเบียนอยู่ในตลาด Nasdaq ทั้งสิ้น

ผลกำไรของบริษัทที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ราคาหุ้นเหล่านี้พุ่งอย่างรุนแรง จนลำพังแค่หุ้นเพียงแค่ 5 ตัวนี้ มีน้ำหนักมากกว่า 10% ในดัชนี S&P500

แต่ในหุ้น 5 ตัวนี้ มีเพียง APPLE ตัวเดียวเท่านั้นที่ถูกบรรจุอยู่ในการคำนวณดัชนี DJIA

ด้วยเหตุนี้ หลายครั้งเราจึงมักเห็นว่า ทำไม Dow บวก แต่ S&P500 กลับติดลบ และถ้าหันไปดู Nasdaq จะเห็นว่าลบหนักมาก

นั่นเพราะหุ้นเด่นๆหลายๆตัวที่นักลงทุนเล่นกันในเวลานี้ อยู่ใน Nasdaq ซึ่งปรับตัวลงแรง มันไปฉุดให้ S&P500 ลงมาด้วย แต่ด้วยการที่มันไม่ได้บรรจุอยู่ใน DJIA มันก็เลยทำให้ Dow ยังคงบวกอยู่ได้ด้วยการปรับขึ้นของหุ้นใหญ่ตัวอื่น

ถ้าจะมองกันอย่างยุติธรรม S&P500 นั้นดูจะเป็นตัวแทนในการ track ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐของทั้ง 2 ตลาดในภาพรวมได้ดีกว่า DJIA เพราะจำนวนหุ้นในบรรจุในดัชนีนั้นมีมากกว่า ทำได้ภาพที่ดีกว่า

แต่ DJIA เป็นดัชนีที่มีการจัดทำกันมาตั้งแต่ก่อนปี 1900 แล้ว นับว่าเป็นดัชนีที่นักวิเคราะยุคศตวรรษที่แล้วก็ใช้กันมา ได้รับความนิยม และมีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ต่อไป

ซึ่งเราได้เห็นการปรับเปลี่ยนในบางเรื่องในยุคหลังๆนี้ เพราะก่อนหน้านี้ หุ้น 30 ตัวที่บรรจุอยู่ใน DJIA นั้นแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แต่หลังๆนี้มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย เพื่อให้หุ้นที่อยู่ใน DJIA เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมต่างๆได้มากขึ้น

ในปัจจุบันนี้ บริษัท S&P Dow Jones ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี 2012 โดยการร่วมกันของ 3 บริษัทอย่าง S&P Global , CME Group และ News Corp เป็นผู้จัดทำดัชนี S&P และถือสิทธิการทำดัชนี Dow Jones อยู่ในมือทั้งหมด


คนเล่นหุ้น