นักเศรษฐศาสตร์ชี้ จีน-สหรัฐ พักรบ ห่วงไทย เสียเปรียบ เกมการค้าโลก
- นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ข้อตกลงสหรัฐฯ-จีน เป็นแค่การพักรบชั่วคราว – ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว ความขัดแย้งยังคงมีโอกลายเป็นสงครามเทคโนโลยีหรือสงครามค่าเงินในอนาคต
- ไทยเสี่ยงเสียเปรียบในการค้า – หากไทยไม่สามารถเจรจาภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐได้ทัดเทียมคู่แข่ง เช่น เวียดนาม หรือมาเลเซีย นักลงทุนอาจไม่เลือกไทยเป็นฐานผลิตหรือส่งออก
- ความเสี่ยงที่ไทยจะถูกมองข้าม – หากประเทศอื่นเจรจาสำเร็จแต่ไทยยังล่าช้า ไทยอาจกลายเป็น “ตัวเลือกอันดับรอง” ในสายตานักลงทุน
- แนะรัฐบาลไทยต้องเร่งกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก – โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลัก เช่น ยานยนต์ เวชภัณฑ์ เหล็ก และเทคโนโลยี เพื่อลดความเสี่ยงหลุดจากเวทีการค้าโลก

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงชั่วคราวระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “จีน” ถือเป็นมุมบวกสำหรับนักลงทุน ที่ยังเป็นคำถามคือความยั่งยืนของสัญญาณเหล่านี้ เนื่องจากยังขาด “ความเชื่อมั่น” ว่าทั้งสองฝ่ายจะรักษาท่าทีสมานฉันท์ได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ มองว่าท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่ลากยาวต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายใต้บริบทของ “การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์” ที่สหรัฐมีเป้าหมายจำกัดบทบาทจีนในฐานะคู่แข่งสำคัญในอนาคต ซึ่งหากจีนยังเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 4-5% ต่อปี เทียบกับ 2% ของสหรัฐก็มีโอกาสสูงที่จีนจะก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกในไม่ช้า
ดังนั้น สหรัฐคงไม่ยอม และหาทางกีดกันจีนให้ได้มากที่สุด ทั้งในมิติของภาษี มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) และนโยบายการลงทุน และมีโอกาสที่จากสงครามการค้าจะพัฒนาไปสู่สงครามรูปแบบอื่นๆ ทั้งสงครามเทคโนโลยี หรือสงครามค่าเงินในอนาคต
ไทยในสมรภูมิการค้าท่ามกลางความเสี่ยง
ในมุมของไทย แม้โอกาสการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียนจะเปิดกว้างขึ้นแต่ยังท้าทาย รัฐบาลไทยต้องเร่งดำเนินการให้ชัดเจน
โดยเฉพาะในประเด็นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเข้าสหรัฐที่อาจกลายเป็น “อุปสรรค” หากเงื่อนไขเจรจาไม่เทียบเท่าหรือดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม หรือมาเลเซีย
“หากสหรัฐลดภาษีให้จีนเหลือ 30% แต่ไทยยังถูกเก็บที่ 36% ไทยจะเสียเปรียบ เวียดนามเองอาจเจรจาได้ดีกว่า ถ้าภาษีต่ำกว่าไทย นักลงทุนก็อาจไม่เลือกเรา และแม้แต่สุดท้ายเจรจาแล้วภาษีของไทยอยู่ระดับกลางที่ 15% แต่ของคู่แข่งต่ำกว่า กระทบต่อความสามารถแข่งขันของเราแน่นอน”
สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องเร่งทำ คือ เจรจาการค้าอย่างมีทิศทางไม่ให้ไทยตกเป็น “ตัวเลือกอันดับรอง” ในสายตานักลงทุนจากจีนหรือสหรัฐ โดยเฉพาะภาคการผลิตสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เวชภัณฑ์ เหล็ก อะลูมิเนียม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ซึ่งไทยจำเป็นต้องมีท่าทีชัดเจน เชิงรุก และพร้อมแข่งขันระดับภูมิภาค
สหรัฐ-จีนเจ็บทั้งคู่
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่าครั้งนี้ เสมือน “การหยุดยิง” ชั่วคราวที่สะท้อนว่า “ทั้งคู่เจ็บ” ไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เป็นเพียงการ “รีเซ็ตกระดาน” เพื่อให้มีเวลาเจรจาต่อ ไม่ใช่สัญญาณว่าความขัดแย้งจะยุติ
ช่วง 90 วัน สิ่งที่ต้องจับตา คือ การเริ่มต้นของ “การเจรจาจริง” หรือ actual negotiation ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นสำคัญอย่างการควบคุมส่งออกสารเคมีต้นทางยาเสพติด ซึ่งสหรัฐกดดันให้จีนดำเนินการเข้มงวด หากจีนแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่เป็นรูปธรรมอาจทำให้สหรัฐ ยอมลดภาษีที่เก็บอยู่บางส่วนได้
สหรัฐฯ-จีน หยุดรบ แต่ไทยเสี่ยง “ถูกลืม”
แม้จะช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวม และทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยในสหรัฐฯ ลดลง แต่สำหรับไทย ผลกระทบอาจไม่เป็นในทางบวกเสมอไป เพราะหากจีนโดนภาษีจากสหรัฐเหลือแค่ 10% เท่าไทย เราก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลย เพราะเดิมไทยเคยหวังว่าหากจีนถูกเก็บภาษีสูงกว่า เช่น 30-40% ขณะที่ไทยอยู่ที่ 10% จะทำให้ไทยกลายเป็นทางเลือกการลงทุนหรือส่งออกเข้าสหรัฐ แต่หากจีนลดภาษีให้เทียบเท่าไทยได้จริง ความได้เปรียบนี้จะหายไปทันที
ขณะที่ การเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐยังไม่คืบหน้าอย่างชัดเจน ประเทศคู่แข่งอย่าง ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และเวียดนาม ต่างเดินหน้าเจรจาและทำข้อตกลงกับสหรัฐได้แล้วจำนวนหนึ่ง ทำให้ไทยเสี่ยงถูก “ทิ้งไว้ข้างหลัง” เพิ่มแรงกดดันต่อฝั่งไทยโดยตรง ไทยจะตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอย่างชัดเจน
“Worst case scenario คือ จีนเจรจากันได้หมด แต่เราเจรจาไม่ได้ แล้วเรากลับไปโดนภาษี 36% ขณะที่จีนเหลือ 10% เราก็เละ”
ดร.นริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงระหว่างจีน สหรัฐ โดยเฉพาะ “ไทย” สถานการณ์นี้อาจเป็น “ความเสี่ยงใหม่” หากประเทศอื่นในอาเซียนเจรจากับสหรัฐฯ ได้ก่อน และไทยไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
หากประเทศในอาเซียน อย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือแม้แต่สิงคโปร์ เจรจาเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าได้สำเร็จในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ขณะที่ไทยยังไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน นั่นคือจุดที่ “น่าห่วง” ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน
“รอบนี้มันเหนื่อย แต่ไม่ถึงกับแย่เหมือนโควิด เพราะไม่มีล็อกดาวน์ ไม่มีการหยุดระบบเศรษฐกิจแบบนั้น แต่เราจะเหนื่อยยาวลากยาวไม่ใช่หล่นเหวแบบปี 2020”
ห่วงไทยหลุดจากการค้าโลก
ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า สิ่งที่เห็นในตอนนี้คือการหยุดพัก ไม่ใช่การหยุดสงคราม เราอาจได้พื้นที่หายใจเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาว ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ตลอดการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ ที่อาจมีการขึ้นภาษีรอบใหม่อีกครั้งได้
ที่น่าจับตามองคือ กลยุทธ์ของสหรัฐในตอนนี้ที่ไม่เพียงแต่ถอยกลับจากแนวรบชั่วคราวกับจีนเท่านั้น แต่ยังมีความพยายามในการเจรจาการค้ากับประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยมีเงื่อนไขแฝงว่าต้อง “เอ็กซ์คลูซีฟจีน” หรือไม่เกี่ยวข้องกับจีนในห่วงโซ่อุปทานบางส่วน ซึ่งทำให้จีนดูเหมือนจะยังถูกกดดันในอีกหลายมิติ
ดังนั้น น่าเป็นห่วง ภายใต้หลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียได้เริ่มต้นเจรจากับสหรัฐแล้ว แต่ไทยกลับยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1180206