ห้องเม่าปีกเหล็ก

HOTPOT ปีหน้าเตรียมเทิร์นอราว ?!?!?!?

โดย lich
เผยแพร่ :
66 views

เอามาจากห้องใน LINE ครับ ใครมีหุ้นตัวนี้น่าจะใจชื่นระดับหนึ่ง

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

บมจ.ฮอท พอท ซึ่งทำธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ คาดรายได้ปี 60 จะทรงตัวจากปีก่อน และยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการปิดสาขาบางแห่ง แต่เชื่อว่าตัวเลขขาดทุนจะลดลงจากปีก่อน จากการปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุน

ผู้บริหาร HOTPOT ตั้งเป้าด้วยว่า จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 61 หลังเปลี่ยนทิศทางบริษัทใหม่ โดยจะห้นไปเน้นแข่งขันด้านคุณภาพ และตั้งราคาให้สูงขึ้น จากเดิมที่แข่งอยู่ในตลาดบุฟเฟ่ต์ และใช้กลยุทธ์การปรับลดราคา ทำให้ความสามารถในการทำกำไรมีจำกัด

"ถ้าให้ผมมองอนาคต พูดจริงๆ ก็คือ ผมไม่คิดว่าธุรกิจบุฟเฟ่ต์เป็นแนวทางที่ผมอยากจะไป ยุคสมัยนี้มันไม่ใช่ยุคบุฟเฟ่ต์แล้ว...สมัยนี้ลูกค้าไม่ได้อยากกินให้อิ่มมากๆ แต่เน้นเรื่องคุณภาพ เน้นเรื่องความคุ้มค่า ซึ่งฮอทพอทก็มีจุดเด่นของเรา แต่จุดเด่นของฮอทพอทมาอยู่ในยุคนี้ไม่ได้ เพราะว่าการแข่งขันสูง ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว" นายโชติวิทย์ เตชะอุบล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HOTPOT กล่าวกับ"รอยเตอร์"

นายโชติวิทย์ ซึ่งเป็นบุตรชายของนายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ HOTPOT ได้เข้ามาบริหารบริษัทตั้งแต่ต้นปี 60 หลังนายอภิชัยทยอยเข้าซื้อหุ้นของ HOTPOT จนมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 24.50% ในปัจจุบัน

เขา กล่าวว่า ในปีนี้จะเป็นปีของการจัดระบบต่างๆ ใหม่ ทั้งเรื่องการดำเนินงาน และการบริหารต้นทุน โดยตั้งแต่ต้นปีนี้มีการปิดสาขาร้านฮอทพอท และซิกเนเจอร์ ที่ไม่ทำกำไรไปแล้ว 5-6 แห่ง และน่าจะไม่ต้องมีการปิดเพิ่มอีกในปีนี้ ซึ่งผลจากการดำเนินการดังกล่าว ทำให้รายได้ในปีนี้อาจจะออกมาใกล้เคียงกับปีก่อน และยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ เพราะต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียว เข้ามาในปีนี้

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลขาดทุนสุทธิในปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร รวมทั้งมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนด้านอาหาร ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลัก โดยขณะนี้ปรับลดต้นทุนดังกล่าวลงมาที่ 48% จากเดิมอยู่ที่ราว 50% ของยอดขาย และตั้งเป้าจะลดลงให้เหลือ 45% ให้ได้ภายในปีนี้

"(ต้นทุนอาหาร) สำหรับบุฟเฟ่ต์ถ้าอยู่ที่ 45 ถือว่าดี ตอนนี้อยู่ที่ 48 ลดลงมาจาก 50 ปีนี้น่าจะได้(45%) ก็เข้มงวดเรื่องตรวจเช็คสต็อกคงเหลือ มีการบริหารจัดการให้ดีขึ้น...ฮอทพอทก็ปิดสาขาที่ขาดทุน ตัวเลขจะได้ดีขึ้น ตอนนี้เหลือ 120 กว่าสาขา ปีนี้ปิดไปแล้ว 5-6 สาขา ตั้งแต่ต้นปี" นายโชติวิทย์ กล่าว

เมื่อปี 59 HOTPOT มีรายได้รวม 2.07 พันล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 148.23 ล้านบาท โดยมีสาขารวมทั้งสิ้น 143 สาขา แบ่งเป็น ร้านฮอทพอททุกรูปแบบ 125 สาขา, ร้านซิกเนเจอร์ 8 สาขา และร้านไดโดมอน 10 สาขา

ขณะที่ในไตรมาส 1/60 บริษัทมีรายได้รวม 522 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 47.83 ล้านบาท

นายโชติวิทย์ ระบุว่า HOTPOT จะปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ โดยจะไม่ขยายร้านบุฟเฟ่ต์เพิ่ม และไม่แข่งขันด้านราคา แต่จะหันไปเน้นเรื่องคุณภาพอาหารและบริการ เพื่อปรับราคาขายให้เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับอาหารและบริการที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้ จะมีการเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่ เพื่อจับตลาด mass และ premium มากขึ้น โดยในปลายเดือนส.ค.นี้ เตรียมที่จะเปิดร้านพิซซ่าและพาสต้า ภายใต้แบรนด์ Toomato ซึ่งสาขาแรกจะอยู่ที่เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ในลักษณะคีออส และจะหาทำเลใจกลางเมือง เพื่อเปิดทั้งร้านและคีออสของ Toomato เพิ่มเติมอีก

อีกทั้ง มีแผนจะเปิดร้านชาบูแบรนด์ใหม่ ที่จับตลาดพรีเมี่ยมมากกว่าฮอทพอท ซึ่งหากแบรนด์ใหม่ดังกล่าวติดตลาด ก็จะมีการเปลี่ยนสาขาของฮอทพอทบางแห่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นสาขาของแบรนด์ใหม่ดังกล่าว ทำให้แบรนด์ดังกล่าวจะขยายตัวได้เร็วขึ้น

ขณะที่ในปี 61 จะกลับมาโปรโมตแบรนด์ไดโดมอนอีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าแบรนด์ดังกล่าวยังมีอนาคต โดยจะเริ่มจากกลุ่มลูกค้าซึ่งเคยรับประทานที่ร้านไดโดมอนมาก่อน ในสมัยที่เป็นนักศึกษาหรือคนเริ่มทำงาน ซึ่งปัจจุบัน คนกลุ่มนี้จะกลายเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือผู้บริหารแล้ว ทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น และทำให้ไดโดมอนสามารถที่จะตั้งราคาที่สูงขึ้นกว่าในอดีตได้ด้วย

รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HOTPOT ตั้งเป้าด้วยว่า ในปีหน้ารายได้จะเติบโตขึ้นจากปีนี้ และจะพลิกกลับมามีกำไรได้ หลังจากดำเนินการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ และการดำเนินงานในด้านต่างๆ แล้ว

"ปีหน้าจะไม่ขาดทุนต่อเนื่อง มีกำไรได้ ต้องกำไรได้ รายได้ก็จะดีกว่าปีนี้ ไม่ขาดทุน เป็น goal ต้องทำได้" นายโชติวิทย์ กล่าว

ด้านนายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ HOTPOT กล่าวว่า เขายังสนใจที่จะถือหุ้น HOTPOT เพิ่มอีก เนื่องจากมองว่าเป็นบริษัทที่มีอนาคต โดยการถือหุ้นเพิ่มขึ้น เป็นไปได้ทั้งการใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นไม่ใช้สิทธิ และการเข้าซื้อเพิ่มเติมในตลาด

แต่โดยรวมแล้ว เขาระบุว่า จะเข้าถือหุ้น HOTPOT ไม่เกิน 50%

"ก็ไม่เกิน 50% จะถือมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะบริษัทนี้มันมีอนาคตอยู่" นายอภิชัย กล่าวกับ"รอยเตอร์"

HOTPOT มีแผนที่จะเพิ่มทุนจำนวน 121.80 ล้านหุ้น โดยแบ่งจัดสรร 81.20 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ส่วนที่เหลืออีก 40.60 ล้านหุ้น จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP)

ทั้งนี้ ในส่วนที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม กำหนดสัดส่วนไว้ที่ 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2 บาท โดยจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-16 ต.ค.60

ขณะที่นายอภิชัยได้แสดงความจำนงที่จะจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ตัวเองถืออยู่ และจองซื้อหุ้นเกินกว่าสิทธิ หากมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่น แต่จะขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด(เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) หากการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว ทำให้เขาถือหุ้นบริษัทเกินกว่า 25%


lich