-------------------------------------------------------
บทความตอนที่ผ่านๆ มาอ่านได้จาก: www.chiangmaifx.com/…/93-article-by…/808-price-patterns.html
www.facebook.com/275391639215535/photos/pcb.1603468543074498/1603467323074620/
-------------------------------------------------------
การนำหลักการของปริมาณการซื้อขายไปใช้กับรูปแบบราคา
(Volume Principles as They Apply to Price)
รูปแบบราคา (Patterns)
นักวิเคราะห์กราฟเชิงเทคนิคต่างใช้การพล๊อตกราฟของหลักทรัพย์แต่ละตัว โดยใช้ราคาหรือไม่ก็ค่าความแปรปรวนทางสถิติ แต่ในบทนี้เราจะใช้ปริมาณการซื้อขายซึ่งเป็นไดนามิกใหม่สำหรับการตีความในเรื่องของจิตวิทยาฝูงชน ดังนั้นการวิเคราะห์แนวโน้มของปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) จะช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีการและเหตุผลในการทำงานของรูปแบบราคาได้ดียิ่งขึ้น จากผลการศึกษาลักษณะของปริมาณการซื้อขาย ได้ให้ละเอียดเชิงลึกแก่เรามากขึ้นเกี่ยวกับการใช้น้ำหนักของพยานหลักฐานที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ปริมาณการซื้อขายไม่เพียงเป็นตัววัดความกระตือรือร้นของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น แต่มันเป็นตัวแปรที่ไม่ขึ้นอยู่กับราคาแม้แต่น้อย ในบทนี้เราจะกล่าวถึงหลักการทั่วไปบางอย่างในการตีความเกี่ยวกับปริมาณการซื้อขาย แต่นี่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะผมยังมีรายละเอียดของรูปแบบราคาแต่ละแบบที่จะพูดถึงมากกว่านั้น
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาปริมาณการซื้อขาย
การศึกษาในเรื่องของปริมาณการซื้อขายจะทำให้ได้รับประโยชน์หลักๆ อยู่ 3 ประการ:
- ในเวลาที่มีการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบราคาและรูปแบบปริมาณการซื้อขาย สิ่งสำคัญคือการดูว่ามันมีความสอดคล้องกันหรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่ามันมีอาจช่วยสนับสนุนทิศทางการขยายตัวของแนวโน้ม
- ถ้าราคาและปริมาณการซื้อขายไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ก็แสดงว่าเส้นแนวโน้มพื้นฐานยังไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เห็น และถ้ามีการทะลุผ่านเส้นแนวโน้มของรูปแบบราคาที่ไม่สอดสอดคล้องกันแล้ว ก็ยิ่งเป็นการเตือนว่าสัญญาณที่ได้มานั้นไม่ถูกต้อง
- ในบางครั้ง พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาอาจเป็นการส่งสัญญาณอ่อนๆ ว่าแนวโน้มใกล้จะมีการกลับตัวแล้ว แต่ปริมาณการซื้อขายนั้นกลับมีลักษณะยืดตัวสูงขึ้น ในกรณีเช่นนี้เราจะไม่สามารถใช้การศึกษาปริมาณการซื้อขายที่ถูกผูกไว้กับพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคามาเป็นสัญญาณเตือนหรือบ่งบอกถึงโอกาสได้อย่างชัดเจน
หลักการตีความเกี่ยวกับปริมาณการซื้อขาย (Principles of Volume Interpretation)
- หลักการแรกและสำคัญที่สุดคือปริมาณการซื้อขายมักจะมีทิศทางเดียวกับแนวโน้ม และโดยปกติจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดขาขึ้นและหดตัวลงในตลาดขาลง (ดูรูปที่ 5.1) ในแง่นี้ ปริมาณการซื้อขายมักถูกตีความให้มีความสัมพันธ์กับอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน เท่านั้นเพราะมันไม่ให้ประโยชน์อะไร ถ้าเราจะเปรียบเทียบตลาด NYSE ในช่วงศตวรรษที่ 21 ที่มีหุ้นในตลาดมากกว่า 1 พันล้านหุ้น/วัน กับช่วงต้นของศตวรรษที่ยี่สิบที่มีหุ้นในตลาดเพียง 5 หรือ 6 ล้านหุ้น/วันและการเปรียบเทียบที่ว่านี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของสถาบัน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิทยา เพราะปัจจุบันเรามีปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าจากการมีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น, การออกอนุพันธ์, ค่าคอมมิชชั่นที่ถูกลง และอื่นๆ ดังนั้นมันจะดูจะสมเหตุสมผลขึ้นถ้าจะเปรียบเทียบตลาดหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขาย 3 พันล้านหุ้น/วันในสัปดาห์นี้ เมื่อเทียบกับ 1.5 พันล้านหุ้น/วันของเมื่อเดือนก่อน เพราะมันพูดถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่สำคัญในช่วงเวลาที่สถาบันไม่มีการเปลี่ยนแปลง
รูปที่ 5-1 ปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นพร้อมกับแนวโน้มราคา
เราทราบว่าเมื่อราคาที่เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มไม่ได้เป็นเส้นตรงโดยตลอด แต่มันจะเป็นเส้นซิกแซกขึ้นลง ซึ่งเหมือนกันกับแนวโน้มปริมาณการซื้อขาย ในตัวอย่าง รูปที่ 5.2 ทางด้านซ้ายลูกศรบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของของแนวโน้มปริมาณการซื้อขายที่กำลังเพิ่มขึ้น และเห็นได้ชัดว่าระดับของปริมาณการซื้อขายไม่ได้เพิ่มอยู่ตลอดเวลา แต่มีทั้งช่วงที่ปริมาณซื้อขายหดหายและที่ปริมาณซื้อขายคึกคักโดยที่ส่วนใหญ่จะเป็นการดีดตัวขึ้น ส่วนด้านขวามือของภาพจะเห็นแนวโน้มที่ลดลงในปริมาณการซื้อขาย ซึ่งจะเห็นว่ามันเคลื่อนไหวอย่างไม่สม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามเมื่อเราพูดถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเราก็มักจะหมายถึงแนวโน้มของมัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่แนวโน้มดังกล่าวจะถูกรบกวนจากความคลาดเคลื่อนต่างๆ ที่มีอยู่ ทั้งนี้ แนวโน้มปริมาณการซื้อขายก็เหมือนแนวโน้มราคาที่สามารถแสดงเป็นปริมาณระหว่างวัน, ช่วงเวลาระยะสั้น, ช่วงเวลาปานกลาง และช่วงเวลาระยะยาว ขึ้นอยู่กับลักษณะของกราฟ
รูปที่ 5-2 การเปลี่ยนแปลงปริมาณการซื้อขายในแนวโน้ม
- ความเป็นจริงที่เกี่ยวระดับของปริมาณการซื้อขายคือ จำนวนเงินที่ไหลเข้าไปในหลักทรัพย์จะเท่ากับจำนวนเงินที่ไหลออก ดังนั้น จึงเป็นระดับความกระตือรือร้นของผู้ซื้อหรือผู้ขายที่เป็นผู้กำหนดแนวทางของราคา หากผู้ซื้ออยู่ในแนวโน้มขาขึ้น พวกเขาตะลุยเพิ่มราคาเสนอซื้อของพวกเขาจนกว่าจะได้หลักทรัพย์ครบตามที่ต้องการ ในขณะที่ถ้าหากผู้ขายมีการตอบสนองต่อข่าวร้าย ก็จะเกิดการตื่นตระหนกและเทขายหลักทรัพย์ในที่ราคาต่ำลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามปริมาณการซื้อจะเท่ากับปริมาณการขายทุกครั้ง
- ปริมาณการซื้อขายและราคาที่เพิ่มขึ้นไปพร้อมกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เพราะเป็นบ่งชี้ว่าตลาดกำลังขับเคลื่อนตามปกติ สถานการณ์ทั่วไปจะไม่มีค่าพยากรณ์ใดๆ ยกเว้นว่ามันมีแนวโน้มจะเกิดสัญญาณขัดแย้งแบบ negative divergence ระหว่างราคาและปริมาณการซื้อขายที่กำลังจะมาถึง
- โดยปกติแล้วในตลาดกระทิง (bull market) จะมีปริมาณการซื้อขายเป็นตัวผลักดันราคาให้สูงขึ้น ถ้าราคา new high ไม่มีปริมาณการซื้อขายมารองรับ จะถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนว่าอาจมีการกลับตัวของแนวโน้ม ในรูปที่ 5.3 จุดราคาสูงสุดอยู่ที่จุด C แต่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยสูงสุด อยู่ที่จุด A พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติและยอดสูงสุดของปริมาณซื้อขายที่ลดลงเป็นการเตือนว่า พื้นฐานราคามีความอ่อนแอในเชิงเทคนิค
น่าเสียดาย ที่ไม่มีกฎตายตัวว่าจะต้องมีจำนวน divergences เท่าไหร่ก่อนถึงจุดสูงสุด แต่โดยทั่วไปยิ่งมี negative divergences จำนวนมาก พื้นฐานเชิงเทคนิคก็ยิ่งอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรงซื้อหดหาย หรือมีแรงเทขายหนาแน่น จุดสูงสุดแต่ละยอดจะลดต่ำลง ความกระตือรือร้นยิ่งมีน้อยลง และจุดซื้อขายทางเทคนิคจะยิ่งเปราะบาง ( vulnerable) มากขึ้น ราคา New high ที่ไม่มีปริมาณซื้อขายมารองรับเป็นลักษณะของตลาดขาลง เนื่องจากราคา new high ไม่มีโมเมนตัมขาขึ้นที่แท้จริง
รูปที่ 5-3 ปริมาณการซื้อขายที่นำราคาในแนวโน้มขาขึ้น
------จบบทความแปล Price Pattern ตอนที่ 8, www.chiangmaiFX.com------