บทความของพี่โจลูกอีสาน บทเรียนจากวิกฤติโควิด ** ต้องอ่านครับ
เว้นวรรค เว้นบรรทัดให้อ่านง่ายขึ้น
----------------------------------------------------------------------------
วิกฤติตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่หากเกิดขึ้นแล้ว ความเสียหายมหาศาล การระบาดของโควิด-19 ทำให้ตลาดหุ้นไทยลดลง 40 % ภายในเวลาแค่ 2 เดือน ยังไม่รวมว่าหุ้นขนาดใหญ่หลายๆ ตัว ราคาลดลงมากกว่า 50 % แน่นอนว่าวิกฤติรอบนี้มีคนรอดตาย คนที่ปางตาย และคนที่ตาย และเพื่อไม่ให้ประสบการณ์จากวิกฤติครั้งนี้ผ่านแล้วผ่านเลย หาประโยชน์ไม่ได้ ผมจะแสดงความเห็นในบางประเด็น เผื่อเป็นข้อคิด สำหรับรับมือวิกฤตครั้งต่อๆ ไป ซึ่งผมมั่นใจมากถึงมากที่สุด ว่าเราจะเจอแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว หากเรายังอยู่.. ????
ป่วยการที่จะทำนายวิกฤติ นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนวีไอส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้ว เรารู้ว่าวิกฤติมันจะเกิดขึ้นแน่ แต่สิ่งที่ยากคือการทำนายว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การหลบเลี่ยงวิกฤติได้ ถือเป็นความฝันของนักลงทุนทุกคน หากรู้จะได้เทขายหุ้นออกไปก่อน แล้วค่อยไปซื้อกลับตอนราคาถูก ๆ แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายหรือเกือบๆเป็นไปไม่ได้ เพราะวิกฤติแต่ละครั้ง จะมาอย่างแนบเนียน ในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน และทุกครั้งกว่าเราจะรู้ว่าเป็นวิกฤติ ราคาหุ้นก็ลดลงมากแล้ว ซึ่งป่วยการที่จะขาย เพราะขายที่ราคาต่ำไม่มีประโยชน์ เหตุการณ์ร้ายๆ ที่กระทบต่อตลาดหุ้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวใดที่จะก่อให้เกิดวิกฤติ หรือเป็นข่าวเล็กๆ ที่แค่กวนใจ หากเราจะขายหุ้นทุกครั้งที่ตลาดมีข่าวร้าย เราอาจจะได้ขายหุ้นทุกเดือน แถมประสาทกิน สิ่งที่เราพอทำได้และควรทำ คือการคิดวางแผน หากวิกฤติเกิดขึ้น เราควรจะทำอย่างไร มีขั้นตอน 1..2...3.. ทำเช่นนี้จะมีประโยชน์มากกว่า
การบริหารความเสี่ยง แม้วิกฤติเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดเดาไม่ได้ และสร้างความเสียหายมากได้มากเมื่อมันเกิดขึ้น แต่ปัจจุบันตลาดทุนพัฒนามากขึ้น มีเครื่องมือบางตัว ที่สามารถใช้ลดความเสี่ยงของพอร์ตจากวิกฤติได้ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือ Future และตราสารอนุพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้นอย่าง option ..เมื่อผมได้รับข่าวเรื่องการระบาดโควิด และเริ่มตระหนักว่าอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้มาก ผมอยากขายหุ้น แต่ขายไม่ได้เพราะหุ้นส่วนใหญ่สภาพคล่องต่ำมาก ผมเลือกที่จะ hedge port บางส่วน โดยการใช้เงินก้อนสุดท้าย short สัญญา future set50 หากผมคาดผิด การระบาดไม่ร้ายแรง หุ้นไม่ลง กลับขึ้น ผมจะขาดทุนสัญญา future แต่จะได้กำไรจากหุ้น แต่สิ่งที่เกิดจริงคือตลาดหุ้นตกลงมาก ผมขาดทุนหุ้นที่ถืออย่างหนัก แต่ได้กำไรจากสัญญา future มาชดเชย ( ลองนึกภาพ..เมื่อหุ้นลง สมองซีกขวาผมเสียใจ แต่สมองซีกซ้ายกลับดีใจ ) และกำไรจากการ short future นี้เอง ที่ผมนำมาซื้อหุ้นที่ราคาต่ำๆ ถึงแม้จะเป็นสัดส่วนเงินที่ไม่ได้มากมาย แต่ตอนวิกฤติเงินสดคือพระเจ้าจริงๆ
วิกฤติจะเป็นโอกาส เมื่อเราแข็งแรงเท่านั้น เหมือนร่างกายที่แข็งแรง เมื่อเจอเชื้อโรคร้ายก็มีโอกาสรอดสูงกว่า นักลงทุนก็เช่นกัน หากทำตัวให้อ่อนแอ เช่นแบกหนี้เงินมาร์จินมาซื้อหุ้น เจอวิกฤติ ราคาหุ้นลดลงมาก แทนที่เป็นโอกาสซื้อหุ้นราคาถูกเพิ่ม กลับต้องมาเป็นฝ่ายเทขายหุ้นเสียเอง เพื่อคืนเงินมาร์จิน ความเสียหายจะมหาศาล วิกฤติโควิดมีนักลงทุนที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หลายคน สังเกตได้จากราคาหุ้นกลางเดือนมีนาคม แต่คนตายหรือปางตายคงไม่อยากเล่าให้เราฟัง ตรงกันข้ามคนที่ตัวเบาหรือแข็งแรง สามารถเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เข้าซื้อหุ้นที่ถูกเทขายราคาถูกๆ ได้
อย่าสงสัยในความสามารถของมนุษย์ ที่จะโต้กลับจากปัญหาที่เข้ามาคุกคาม หากมนุษย์ไม่มีคุณสมบัตินี้ คงไม่สามารถแพร่เผ่าพันธุ์ ยึดครองโลกได้อย่างทุกวันนี้ เมื่อวิกฤติเกิดขึ้นในตลาดหุ้น - 100 % ของข่าวสารที่เราได้รับจะเป็นข่าวร้าย ข่าวที่ดูเหมือนโลกจะแตก ทุนนิยมจะล่มสลาย ผู้คนจะล้มตาย หุ้นจะเหลือแต่เศษกระดาษ แต่มนุษย์ไม่มีวันจะยอมแพ้ ไม่ช้าไม่นาน วิธี มาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหา จะถูกระดมคิดขึ้น และถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็ว ปัญหาที่ร้ายแรงจะทุเลาลง หรืออาจเอาชนะปัญหาได้เลย ณ. จุดแย่ที่สุด คนที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์ จะขายหุ้นทิ้งไป หุ้นจะถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือคนที่มองโลกในแง่ดีกว่า มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
โลกหมุนเร็ว ต้องรีบตัดสินใจ โลกทุกวันนี้ หมุนเร็วกว่าโลกในอดีตมาก เพราะการหมุนเวียนของแทบทุกสิ่งอย่าง เป็นระบบดิจิตอล ตลาดหุ้นก็เช่นกัน วิกฤติรอบนี้ หุ้นได้ไปทำจุดต่ำสุดกลางเดือนมีนาคม และนิ่งๆอยู่เพียงแค่ไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็แรลลี่ขึ้นยาว คนที่เงื้อง่าราคาแพง คนที่รอให้มีดตกถึงพื้นเสียก่อน คนที่ขอต่อราคาอีกหน่อย คนที่รอทุกอย่างให้ชัดเจนก่อน คนที่มองโลกในแง่ร้าย ล้วนถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง จะดีกว่าไหมหากเราไม่ต้องรอให้มีดตกถึงพื้น เพราะเราไม่มีวันรู้ กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อมันเด้งขึ้นมาแล้ว หากราคามันถูกพอ ซื้อบางส่วนไปก่อน ลงอีกได้ซื้ออีก หากมันเด้ง ยังมีหุ้นบ้าง ซื้อทันแบบคร่าวๆ ดีกว่าตกรถแบบจังๆ
ตราสารหนี้ไม่ใช่ safe heaven เสมอไป นักลงทุนเคยเชื่อว่าตราสารหนี้เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย เป็นที่พักเงินที่ไว้ใจได้ แต่วิกฤติครั้งนี้ ความเชื่อนี้เริ่มสั่นคลอน ตราสารหนี้ก็หนีไม่พ้นที่ได้รับผลกระทบ สภาพคล่องที่หายไป เพราะนักลงทุนแห่เทขายสินทรัพย์ทุกชนิดเพื่อถือเงินสด ผู้ถือตราสารอยากขายก็ขายไม่ได้ เพราะไม่มีแรงซื้อ จนกองทุนตราสารหนี้บางกองต้องประกาศปิดกองทุน เพราะหากดึงดันจะขายในสภาพที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ ราคาขายจะต้องมีส่วนลดสูง สู้ปิดกองทุนรอให้สภาพคล่องกลับมา จะขายได้ที่ราคาดีกว่า ความเสียหายจะน้อยกว่า แต่ลองนึกถึงนักลงทุนที่พักเงินในตราสารหนี้ เพื่อรอจังหวะช้อนซื้อหุ้นตอนราคาตกต่ำ อยากจะซื้อหุ้นก็ซื้อไม่ได้ เพราะขายไม่ได้ ไม่มีเงิน เหมือนเจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น แล้วจะสามารถไปเรียกร้องค่าเสียโอกาสกับใครได้บ้าง..
รอบ 2 ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ผมได้ผ่านวิกฤติตลาดหุ้นมา 3 ครั้ง ครั้งแรกวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ครั้งที่ 2 คือวิกฤติซับไพรม์ ปี 2551 และวิกฤติล่าสุด วิกฤติโควิดปี 2563 แทบทุกครั้งหลังจากหุ้นลงไปทำจุดต่ำสุด และมีทีท่าว่าจะฟื้นตัว จะมีความเห็น post crisis แทบทุกครั้งทำนองว่าจะวิกฤติรอบ 2
..ตอนปี 40 ก็มีคำพูดที่โด่งดังคือ ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าจะเผาจริง ปี 2551 ก็มีคนหลายคนออกมาเตือนว่าจะมีวิกฤติรอบ 2 เพราะตราสารหนี้ CDO -collateralized debt obligation ล็อต 2 จะถูกไถ่ถอน และมันจะไม่มีคนซื้อ พอวิกฤติโควิดรอบนี้ ก็มีคำเตือนว่าโควิดจะระบาดรอบ 2 และทำให้เกิดวิกฤติเศรษกิจอีกรอบ ( ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นจริง แต่จะไม่สะเทือนหุ้นเหมือนครั้งแรก ) แต่สิ่งที่เป็นจริงทุกครั้งคือ วิกฤติรอบ 2 ไม่เคยเกิดขึ้นจริง คนที่เชื่อว่าจะเกิดวิกฤติรอบ 2 น่าจะเป็นผลจาก Snake-bite effect + Recently bias + pessimistic หากนักลงทุนเสพและคล้อยตามความเห็นเหล่านี้ เขาจะไม่กล้าซื้อหุ้น
... ในตอนที่ควรจะซื้อที่สุด หรือเรียกว่า เสพข่าวร้ายจนตกรถ
สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนนักลงทุนทุกท่าน สำหรับการลงทุนต่อๆ ไป สิ่งที่ผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้วกับปีเก่า เรารีเซ็ททุกอย่างเป็นศูนย์ ขึ้นปีใหม่ เริ่มกันใหม่ การลงทุนเรามองไปที่อนาคตเสมอ ไม่ว่าปีที่ผ่านไปจะดีหรือไม่ดี สิ่งที่ยังพอเป็นประโยชน์บ้างคือมันให้บทเรียน เราได้เรียนรู้ เพื่อที่จะเป็นนักทุนที่เก่งขึ้น ผิดพลาดน้อยลง หากเทคนิค วิธีใด ใช้ไม่ได้ผล ต้องฉุกคิด วิธีผิด หรือคนผิด ไตร่ตรองแล้วปรับเปลี่ยน โลกเปลี่ยน คนต้องยืดหยุ่น