ห้องเม่าปีกเหล็ก

สงครามการค้ากระทบไทยมากกว่าที่คิด

โดย dave
เผยแพร่ :
61 views

สงครามการค้ากระทบไทยมากกว่าที่คิด

ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกินขอบเขตกว้างขวางทั่วโลก หากใครได้ติดตามข่าวในแต่ละวันก็ยากที่จะประมวลออกมาได้

ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยแพร่รายงานนโยบายการเงิน เดือนมิ.ย.2562 ได้เสนอบทวิเคราะห์ที่มีข้อมูลทางการค้าล่าสุดเรื่อง “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน: นัยต่อเศรษฐกิจโลกและไทย” มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

นช่วงที่ผ่านมา สหรัฐฯดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยมุ่งปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐฯเองมากขึ้นเพื่อฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศ

มาตรการที่เกี่ยวข้องมีหลายรูปแบบทั้ง (1) มาตรการภาษีที่จัดเก็บกับสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ อาทิ การเพิ่มอัตราภาษีการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม (2) มาตรการภาษีที่จัดเก็บกับสินค้านำเข้าเฉพาะบางประเทศ อาทิ มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งครอบคลุมสินค้า 3,607 รายการ คิดเป็นมูลค่าราว 250,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมถึง (3) มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (non-tariff barrier: NTBs) อาทิ การคว่ำบาตรบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนจากเหตุผลด้านความมั่นคง

นโยบายข้างต้นล้วนส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลกและการส่งออกสินค้าของหลายประเทศรวมถึงไทย ตลอดจนการผลิตการจ้างงาน รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชนในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการกีดกัน ทางการค้าฯ ต่อเศรษฐกิจไทยที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละช่องทาง ดังนี้

1. ผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า ในช่วงที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยมีทิศทางเติบโตชะลอลงต่อเนื่องหลังจากที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12.2 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 โดยมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 หดตัวร้อยละ 3.6 ซึ่งนับเป็นการหดตัว ครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาสที่ผ่านมา จากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้สหรัฐฯไม่ได้ปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านนำเข้าจากไทยโดยตรง แต่การส่งออกสินค้าไทยได้รับผลกระทบผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

ช่องทางการค้า (world trade volume effect) มาตรการกีดกันทางการค้าฯ เป็นปัจจัยสำคัฐที่ทำให้ปริมาณการค้าโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทย ชะลอลง ซึ่งปัจจัยนี้มีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 1 ปี 2562 หดตัวประมาณร้อยละ 1.5

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ประเมินว่าบรรยากาศการกีดกันทางการค้าฯ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก จึงปรับลดประมาณการปริมาณการค้าโลกในปี 2562 จากร้อยละ 4.1 เป็น 3.3 แต่สถานการณ์การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูงเพราะมีโอกาสยืดเยื้อหรือทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการผลิตและการลงทุนเพื่อรอประเมินความชัดเจนก่อน สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะหมวดคำสั่งซื้อสินค้าทุนล่วงหน้า ภาคการผลิตในประเทศอุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัวชะลอลง ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าขั้นกลางของกลุ่มประเทศในเอเชียเติบโตชะลอลงตาม

นอกจากนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าฯ มีส่วนทำให้วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ (electronic cycles) อยู่ในช่วงขาลงนานขึ้นและทำให้การส่งออกสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ของโลกและไทยฟื้นตัวได้ช้าลง ซึ่งปัจจัยนี้มีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 หดตัว ประมาณร้อยละ 1.2

ผลกระทบจากห่วงโซ่การผลิต (supply chain effect) มาตรการกีดกันทางการค้าฯ ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการส่งออกของประเทศอื่นที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต (supply chain) ของสหรัฐฯ และจีนได้ เนื่องจากสินค้าที่ถูกเก็บภาษีนำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้า อุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับหลายประเทศสูง อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักร ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ โดยนำเข้าสินค้าขั้นกลางและสินค้าทุนจากต่างประเทศสำหรับการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งประเทศที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากช่องทางนี้มากที่สุด คือ ประเทศในเอเชียที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กและเชื่อมโยงกับจีนสูง เช่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลี สิงคโปร์ รวมถึงไทย

โดยผลกระทบจากช่องทาง supply chain มีส่วนทำให้การส่งออกของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 หดตัวเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.1 ซึ่งสินค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ สินค้า อิเล็กทรอนิกส์และทัศนูปกรณ์

ผลดีจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ทดแทนสินค้าจากจีน (substitution effect) มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ปรับลดลงอาจสร้างโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าทดแทนจีนในตลาดสหรัฐฯ โดย กลุ่มสินค้าที่ได้รับผลดีจากช่องทางนี้ ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ แผงวงจรรวม และเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตยางและพลาสติก ซึ่งปัจจัยนี้มีส่วนช่วยทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 หดตัวน้อยลงประมาณร้อยละ 0.5 ในระยะต่อไป

มาตรการกีดกันทางการค้าฯมีโอกาสยืดเยื้อหรือทวีความรุนแรงขึ้นจาก (1) มาตรการภาษีสินค้านำเข้าที่สหรัฐฯ อาจจัดเก็บเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากจีนในส่วนที่เหลือซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 300,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมถึงมาตรการภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนที่สหรัฐฯ อาจจัดเก็บกับประเทศอื่นๆ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ (2) มาตรการภาษีอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น เช่น ประเด็นผู้อพยพผิดกฎหมายระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก และ (3) มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (non-tariff barriers: NTBs) อาจถูกนำมาใช้มากขึ้น เช่น กรณีที่สหรัฐฯ ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีของจีนเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ

ดังนั้น สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศจึงยังมีความไม่แน่นอนสูงและเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อปริมาณการค้าโลกและเศรษฐกิจ ประเทศคู่ค้ามากกว่าที่หลายหน่วยงานประเมินไว้ ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมรับมือเพื่อปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น อาทิ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก substitution effect ได้มากขึ้น รวมทั้ง การหาตลาดส่งออกสินค้าใหม่ทดแทนจีนเพื่อลดผลกระทบจาก supply chain effect ซึ่งอาจทำได้โดยการเปลี่ยนไปส่งออก วัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้าให้กับประเทศอื่นที่สหรัฐฯ นำเข้าแทนจีน

2. ผลกระทบต่อกลุ่มผู้ขายในประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้าฯ ส่งผลต่อกลุ่มผู้ขายสินค้าในประเทศไทยเช่นกัน เนื่องจากจีนอาจนำสินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯมาขายทุ่มตลาด (dumping) ในไทย เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าจากจีนควบคู่กับ similarity index ที่สะท้อนกลมุ่สินค้าที่มีโอกาสสูงที่จะถูกจีนทุ่มตลาด พบว่าเริ่มมีสัญญาณการทุ่มตลาดจากจีนบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนนัก โดยมูลค่าการนำเข้าจากจีนเร่งขึ้นในบางหมวดสินค้า อาทิ สิ่งก่อสร้างจากอะลูมิเนียม เครื่องปรับอากาศ ส่วนประกอบยานยนต์ สิ่งทอและอิเล็กทรอนิกส์ แต่สัดส่วนการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากจีนมีสัดส่วนต่อมูลค่าการนำเข้ารวมต่ำกว่าร้อยละ 1 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มเติม อาจทำให้จีนทุ่มตลาดมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยชัดเจนขึ้น เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้ ส่วนผู้บริโภคในประเทศจะสามารถซื้อสินค้านำเข้าในราคาที่ถูกลง แต่อาจต้องพิจารณาประเด็นด้านคุณภาพสินค้าควบคู่ด้วย

3. ผลกระทบต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการจ้างงาน หากสถานการณ์การค้าโลกชะลอลงและกระทบการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ การส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบอาจนำไปสู่การปรับลดการผลิตและการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไทยได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก ผู้ประกอบการอาจปรับลดการจ้างงานหรือผลตอบแทนของแรงงานในท้ายที่สุด ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 เริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดการผลิตและการจ้างงานโดยเฉพาะการจ้างงานล่วงเวลาในบางอตุสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทย

อย่างไรก็ดี แรงงานบางส่วนที่ได้รับผลกระทบได้ย้ายไปเป็นแรงงานในภาคบริการและการค้าซึ่งช่วยพยุง กำลังซื้อและการบริโภคโดยรวมได้บ้าง

4. ผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน มาตรการกีดกันทางการค้าฯ อาจส่งผลดีต่อ บางประเทศจากการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการ ต่างชาติ (investment diversion) โดยผู้ประกอบการ อาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อเลี่ยง ผลกระทบไปยังประเทศอื่นที่มีศักยภาพรองรับ การลงทุน อาทิ เวียดนามและไทย ซึ่งอุตสาหกรรม การผลิตยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ (รวมยางล้อ) ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ ของไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก สะท้อนจากเครื่องชี้ความสามารถในการแข่งขัน (revealed comparative advantage: RCA) ของไทย จึงมีโอกาสที่ผู้ประกอบการต่างชาติใน อุตสาหกรรมดังกล่าวจะย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยเพิ่มเติมในอนาคต ส าหรับช่วงที่ผ่านมา มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (foreign direct investment: FDI) ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เร่งขึ้นชัดเจน

รวมทั้งเห็น FDI จากจีนปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2561 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง โลหะ และเคมีภัณฑ์ แม้ว่า FDI จากจีนจะเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับ FDI ทั้งหมดของไทย

โดยสรุป มาตรการกีดกันทางการค้าฯ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายช่องทาง โดยเฉพาะ ช่องทางการค้าผ่านการส่งออกสินค้าและความเชื่อมั่นในหลายประเทศที่ปรับลดลง ซึ่งมีส่วนทำให้ประมาณการมูลค่าการส่งออกไทยไม่ขยายตัวในปี 2562 จากที่ขยายตัวสูงในปีก่อน รวมทั้งยังมีผลกระทบจากช่องทางอื่นที่ยังต้องติดตาม อย่างใกล้ชิดเช่นกัน ได้แก่ การเข้ามาทุ่มตลาดของจีนที่อาจส่งผลลบต่อผู้ขายในประเทศซึ่งยังมีไม่มากนักในช่วงที่ผ่านมา การผลิตและการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังกำลังซื้อของครัวเรือน ตลอดจนผลดีจากการย้ายฐาน การผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติเพื่อเลี่ยงผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าฯ ซึ่งหลายอุตสาหกรรมของไทย มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่จะดึงดูด FDI ได้

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave