หุ้นเหมือง Bitcoin เตือนแล้ว !!

5 หุ้นกลุ่มเหมือบิทคอยน์ทรุดหนัก JTS - ZIGA นำทีม หลังทั่วโลกเริ่มหวั่นปัญหารัสเซีย - ยูเครนยืดเยื้อ พบข้อมูล ยูเครน มีสัดส่วนประชากรถือครองคริปโตต่อประชากรมากสุดในโลก ฟากโบรกฯ เตือนอย่ามองแค่ราคาเหรียญ พบธุรกิจขุดเหมืองบิทคอยน์ในไทย ยังมีความเสี่ยงอีกเพียบ

  ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น 5 บริษัทที่ประกาศว่าจะทำเหมืองขุดบิทคอยน์ในวันนี้ปรับตัวลดลงอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS , บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA , บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA , บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) SCI และ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ดังนี้

  JTS อยู่ที่ระดับ 231 บาท ลดลง 84 บาท หรือ 26.67% มูลค่าการซื้อขาย 765 ล้านบาท
  ZIGA อยู่ที่ระดับ 10.20 บาท ลดลง 4.30 บาท หรือ 29.66 % มูลค่าการซื้อขาย 867 ล้านบาท
  UPA อยู่ที่ระดับ 0.55 บาท ลดลง 0.07 บาท หรือ 11.29 % มูลค่าการซื้อขาย 1,145 ล้านบาท
  SCI อยู่ที่ระดับ 2.28 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 8.06% มูลค่าการซื้อขาย 221 ล้านบาท
  ECF อยู่ที่ระดับ 1.78 บาท ลดลง 0.19 บาท หรือ 9.64% มูลค่าการซื้อขาย 50.40 ล้านบาท

* หวั่น บิทคอยน์ร่วงหนักกังวลปัญหารัสเซีย - ยูเครน

  สำหรับราคาบิทคอยน์ล่าสุด อยู่ที่ประมาณ 38,100 ดอลลาร์ โดยก่อนหน้านี้ ราคาบิทคอยน์ ร่วงลงมาต่ำกว่าระดับ 40,000 เหรียญสหรัฐในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมิน ว่าแนวโน้มราคายังมีโอกาสลงอย่างต่อเนื่องท่ามทางกลางวิกฤตในยูเครนที่ส่อเค้ารุนแรงขึ้น เช่นเดียวกับราคาเงินสกุลดิจิทัลสำคัญอื่น ๆ ที่ต่างปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน

  ซึ่งนักวิเคราะห์ บางรายประเมินว่า บิตคอยน์มีแนวโน้มที่อาจร่วงลดต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ เนื่องจากนักลงทุนกังวลผลกระทบจากสถานการณ์รัสเซียยูเครนที่ยังคงไม่แน่นอน เนื่องจาก ยูเครน เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรถือครองคริปโตต่อประชากรมากสุดในโลกที่ 12.73% จากประชากรทั้งประเทศราว 44.13 ล้านคน หรือมีชาวยูเครนอย่างน้อย 5.5 ล้านคน ที่ถือครองสินทรัยพ์ดิจิทัล ขณะที่ยูเครนมีเฉลี่ยมูลค่าการซื้อขายเงินดิจิทัลมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์ในทุกสัปดาห์ หรือเฉลี่ยซื้อขายที่ราว 800,000 ดอลลาร์ต่อวัน

* โบรกฯ เตือนอย่ามองแค่ราคาเหรียญ ชี้ความเสี่ยงมีเพียบ

  นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย " ว่า หุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังมีความเสี่ยงหลายด้าน ซึ่งต้องการให้นักลงทุนที่กำลังสนใจหุ้นกลุ่มนี้ พิจารณาให้รอบด้านอย่ามองแต่เรื่องราคาเหรียญดิจิทัลเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีตัวแปรอื่นๆที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินบาท หรือภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่อาจไม่เอื้อต่อการขุดเหรียญเท่ากับประเทศในเมืองหนาว

  โดยเรื่องราคาเหรียญ แม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาจะปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง แต่ล่าสุดก็สะท้อนให้เห็นว่า ราคาพร้อมที่จะผันผวนตามสถานการณ์โลกได้เช่นกัน

  ส่วนเรื่องค่าเงินบาท ประเมินว่าแนวโน้มจากนี้ จะเป็นทิศทางแข็งค่า จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้การแปลงเงินดิจิทัลมาเป็นเงินบาทได้มูลค่าที่ลดลง

  ขณะที่ปัจจัยเรื่องภูมิศาสตร์ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ดังนั้นการใช้กำลังไฟในการขุดเงินดิจิทัลจะสูงกว่าประเทศในเมืองหนาว ซึ่งจะทำให้บริษัทที่ขุดมีต้นทุนค่าไฟที่สูงมาก

  "หลายบริษัทที่ประกาศจะทำธุรกิจเหมืองขุดเงินดิจิทัล ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะร่วมทุน หรือไม่ได้ลงทุนเพียงรายเดียว ซึ่งกำไรที่ได้จากการขุดเหรียญอาจจะไม่ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย กลุ่มนี้เราจึงมองว่าราคาปรับตัวขึ้นมาเกินสิ่งที่เค้าจะทำได้ไปแล้ว " นายณัฐพล กล่าว