คุกกี้กล่องแดงในตำนาน “KCG”
เคาะราคาไอพีโอ 8.50 บาท
เปิดจองซื้อ 20 -24 ก.ค. ลุยเทรด SET 3 ส.ค. นี้

.
KCG คาดเข้าซื้อขายกระดานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใน 3 สิงหาคมนี้ เคาะราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น พร้อมเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 20 – 21 และ 24 ก.ค. 2566
.
โดย ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 20 – 21 และ 24 ก.ค. นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 3 สิงหาคมนี้
.
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้สร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า ขยายกำลังการผลิต ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
.
ด้าน นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ให้มุมมองถึงการกำหนดราคาหุ้น IPO ของ KCG ที่ราคา 8.50 บาทต่อหุ้น พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แผนการลงทุนและศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
.
นอกจากนี้ KCG นับว่าเป็นธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานมั่นคง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สอดรับกับการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและร้านอาหารและเบเกอรี่ต่างๆ ความนิยมในการบริโภคอาหารตะวันตกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น จึงทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์จากชีสและเนยมากขึ้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้การบริโภคอาหารตะวันตกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
.
สุดท้าย นางกนกวรรณรัตน์ ศรีมณีศิริ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2563 - 2565 บริษัทมีรายได้รวม 4,950.0 ล้านบาท 5,265.0 ล้านบาท และ 6,232.7 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 244.2 ล้านบาท 303.4 ล้านบาท และ 241.1 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกประเภทให้กับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) กลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) และการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เติบโตเพิ่มขึ้น
.
ขณะที่ผลดำเนินงาน 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,723.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 58.4 ล้านบาท โดยรายได้รวมและกำไรสุทธิเติบโตจากงวด 3 เดือนแรกของปี 2565 คิดเป็นอัตราร้อยละ 30.6 และร้อยละ 81.4 ตามลำดับ โดยหลักมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ