“คิดดอกเบี้ย แบบใหม่” เรื่องที่คนเป็น “หนี้” ต้องรีบอ่าน ด่วน!!
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เพิ่งจะออกประกาศ “การปรับปรุงดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 3 เรื่อง” หรือเกณฑ์วิธี คิดดอกเบี้ย แบบใหม่ เพื่อลดภาระให้กับคนที่เป็นหนี้ ซึ่งครอบคลุมทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ SMEs
ซึ่งทั้ง 3 มาตรการที่ประกาศออกมานั้น หากลองนำมาเปรียบเทียบวิธีการ คิดดอกเบี้ย แบบใหม่ กับวิธีการคิดดอกเบี้ยแบบเดิม ที่สถาบันการเงินคิด ก็ถือว่าสามารถลดภาระคนเป็นหนี้ไปได้พอสมควร โดยเกณฑ์ใหม่ที่แบงก์ชาติ ประกาศออกมานั้น ประกอบด้วย
- ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment charge)
- ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
- ให้คืนค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร
ไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด จ่ายค่าปรับลดลง
สำหรับสินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งเดิมผู้ประกอบการบางรายคิดค่าปรับจากฐานวงเงินสินเชื่อทั้งก้อน แต่เกณฑ์ใหม่ให้คิดค่าปรับบนยอดเงินต้นคงเหลือ
ยกตัวอย่างคือ หากคุณกู้สินเชื่อ SMEs จากธนาคารมาธุรกิจ 10 ล้านบาท มีกำหนดชำระคืนใน 10 ปี หากคุณผ่อนมา 4 ปี คืนเงินต้นไป 4 ล้านบาท แล้วคุณมีเงินก้อนอยากปิดหนี้ก่อนครบกำหนด 10 ปี
วิธีการเดิมธนาคารจะคิดค่าปรับปิดหนี้ก่อนกำหนด จากยอดเงินต้นทั้งก้อน 10 ล้านบาท แต่วิธี คิดดอกเบี้ยแบบใหม่ จะคิดจากเงินต้นที่เหลือ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ 6 ล้านบาท
ซึ่งปกติธนาคารจะคิดค่าปรับโดยคูณด้วยดอกเบี้ยต่อปี เช่นหากคิดดอกเบี้ย 2% ต่อปี ค่าปรับตามวิธีคิดแบบเดิมคือ 10 ล้าน X 2% เท่ากับ 200,000 บาท แต่ตามเกณฑ์คิดแบบใหม่ คือ 6 ล้าน X 2% เท่ากับ 120,000 บาท นั่นเท่ากับว่าเราประหยัดเงินไปได้ถึง 80,000 บาท
นอกจากนี้ยังให้สถาบันการเงิน ต้องกำหนดช่วงระยะเวลาที่จะยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับการไถ่ถอน เช่น ระยะเวลาผ่อนชำระทั้งสัญญา 10 ปี แต่กำหนดให้หากปิดหนี้หลังจากปีที่ 3 หรือ ปีที่ 5 จะไม่คิดค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด
ความสำคัญของเรื่องนี้คือ ค่าปรับที่ไม่สูงจะช่วยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ประกอบการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดและช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบ รวมทั้งทำให้ตลาด refinancing เกิดขึ้นในประเทศไทย
จ่ายช้า “คิดดอกเบี้ย แบบใหม่” ช่วยได้เยอะ
สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด เดิมการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของเงินต้นคงเหลือ เกณฑ์คิดดอกเบี้ยแบบใหม่ ใหม่ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนค่างวด (installment) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้นของค่างวดนั้น
ยกตัวอย่าง กู้ซื้อบ้าน 5 ล้านบาท กำหนดผ่อนงวดละ 42,000 บาท 240 งวด (20 ปี) โดยคิดดอกเบี้ย 8% ต่อปี โดยการผ่อนชำระตรงมาตลอด แต่เกิดมีปัญหาในงวดที่ 25 เงินไม่พอชำระ ทำให้ผ่อนได้ไม่ตรงตามที่ธนาคารกำหนด ล่าช้าไป 30 วัน
เดิมธนาคารจะคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระจากเงินต้อนคงเหลือ หากผ่อนมา 24 งวด จะเหลือเงินต้น 4,770,000 บาท พอผิดนัดชำระดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่ต้องจ่ายคือ 4,770,000 X 8% X จำนวนวันที่จ่ายล่าช้า 30 วัน เท่ากับ 31,364.38 บาท
แต่วิธีคิดของใหม่ให้คำนวณจาก “เงินต้นงวดที่ผิดนัดชำระ” หากผ่อนงวดละ 42,000 บาท เป็นเงินในงวดนั้น 10,000 บาท เป็นดอกเบี้ย 32,000 บาท เท่ากับว่าเกณฑ์ใหม่จะคิดดอกเบี้ยปรับจากเงินต้น 10,000 บาท คือ 10,000 X 8% X จำนวนวันที่จ่ายล่าช้า 30 วัน เท่ากับ 65.75 บาท
ซึ่งจะพบว่าการ คิดดอกเบี้ย แบบใหม่ ลดภาระไปถึง 31,298.63 บาท ซึ่งถือว่าเป็นคุณกับบรรดาคนที่เป็นหนี้อย่างมาก และโดยเฉพาะคนที่ชำระค่างวดล่าช้า นั่นแปลว่าคนเหล่านั้นกำลังมีปัญหา เกณฑ์ใหม่นี้ถือเป็นประโยชน์และช่วยผ่อนภาระ รวมทั้งความกังวลให้คนเป็นหนี้ได้แบบยกภูเขาบางส่วนออกจากออกได้
นอกจากยังให้สถาบันการเงิน กำหนดช่วงระยะเวลาการผ่อนผัน ไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (grace period) ในกรณีที่ลูกหนี้อาจมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เช่นกำหนดให้ชำระล่าช้าได้ไม่เกิน 7 วัน เป็นต้น และให้แจงรายละเอียดของยอดหนี้ค้างชำระ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าธรรมเนียมทวงถามหนี้ ให้ลูกหนี้ทราบอย่างชัดเจน
ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็ม ขอคืนได้
กรณีนี้คือกำหนดให้ธนาคารต้องคืนค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร โดยคำนวณตามสัดส่วนที่ผู้ใช้บริการใช้ไป
โดยปกติธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมบัตรรายปีกับเรา เช่นปีละ 300 บาท แต่หากเราใช้ไป 3 เดือน (90 วัน) แล้วเราไปขอยกเลิก ธนาคารต้องคิดค่าธรรมเนียมให้กับเรา โดยคำนวณตามสัดส่วนที่เราใช้ไป ในที่นี้คือ 90 วัน หากคิดเป็นสัดส่วนจาก 365 วัน เท่ากับ 73.97 บาท แปลว่าธนาคารต้องคืนค่าธรรมเนียมให้เรา 300 – 73.97 เท่ากับ 226.03 บาท
ซึ่งตามแบบเดิมจะไม่มีการคืนส่วนต่างค่าธรรมเนียม หรือคืนก็ต่อเมื่อผู้ใช้ร้องขอเท่านั้น แต่เกณฑ์ใหม่เกณฑ์ใหม่ให้คืนค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ
นอกจากนี้กรณีต้องออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน เดิมจะเรียกเก็บทุกกรณี เกณฑ์ใหม่ให้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน แต่หากกรณีที่ออกบัตรหรือรหัสทดแทนมีต้นทุนสูงอาจพิจารณาจัดเก็บได้ตามความเหมาะสม
เกณฑ์ คิดดอกเบี้ย แบบใหม่ เริ่มเมื่อไหร่
เกณฑ์ใหม่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศออกมานั้น ในเรื่องค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด และค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2563
ส่วนการ คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ แบบใหม่ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 พ.ค.63 เนื่องจากการปรับปรุงครั้งนี้ถือเป็นการปรับใหญ่ ตั้งแต่หลักคิดเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จากเดิมที่คำนวณจากฐานของยอดหนี้คงเหลือทั้งหมด มาคิดเฉพาะเงินต้นของงวดที่ค้างชำระและผิดนัดแล้วจริงๆ (ไม่รวมงวดในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง)
อีกทั้ง การปรับในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับหลายระบบงานของสถาบันการเงิน จึงต้องใช้เวลาในการปรับระบบงานให้รองรับทั้งหมด
โดยเกณฑ์ใหม่ทั้งหมดนี้ จะถูกปรับโดยอัตโนมัติโดยประชาชนไม่ต้องไปแก้สัญญาเพื่อรับสิทธิการ คิดดอกเบี้ย แบบใหม่ กับสถาบันการเงิน เมื่อหลักเกณฑ์มีผลบังคับใช้ ธนาคารต่างๆ จะมีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงมาที่เราเอง
ซึ่งเกณฑ์ที่ออกมาใหม่นั้นโดยเฉพาะ ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด และดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ถือว่าประโยชน์ตกกับลูกหนี้เต็มๆ ลดภาระการเงินไปได้แบบหายใจได้โล่งขึ้น อยากจะปิดหนี้ก็ไม่ต้องกังวลค่าปรับ ส่วนกรณีผิดนัดชำระหนี้ เงินที่ลดไปก็เหมือนการช่วยต่อลมหายใจคนเป็นหนี้ ยามที่ลำบากจริงๆ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก