ในยุคที่ไวรัสโคโรน่ากำลังระบาด และหน้ากากอนามัยมีค่ายิ่งกว่าทองคำ สำหรับประเทศไทย แม้รัฐบาลจะยังไม่ประกาศเป็นเฟส 3 แต่ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันก็พุ่งสูงขึ้น โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 212 คน เสียชีวิต 1 คน เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค 7,546 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2563 เวลา 11.00 น.) ซึ่งหากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งสูงขึ้นรายวันเช่นนี้ คาดว่าอีกไม่นานก็จะเข้าสู่เฟส 3 อย่างเต็มตัว ยากต่อการควบคุม
ด้วยสถานการณ์เช่นปัจจุบัน ภาครัฐควรจะมีบทบาท ในการกำกับดูอย่างเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน แต่สิ่งที่แสดงของรัฐบาล กลับทำให้ประชาชนขวัญผวา ขาดความเชื่อมั่น เห็นได้จากเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ประชาชนแห่กันไปซื้อสินค้ากักตุนไว้ใช้หากต้องมีมาตรการ “ปิดเมือง” ขึ้นมาจริงๆ ร้อนถึงเอกชนต้องออกมาชี้แจงว่าสินค้ายังมีเพียงพอให้บริการประชาชนสู้กับวิกฤติไวรัสโควิท 19 นี้แน่นอน
ก็ยังดีที่ประเทศไทยเรายังมีภาคเอกชนที่เข้มแข็ง เป็นที่พึ่งพิงให้กับประชาชนได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านวิกฤติมาครั้งใด เรามักจะเห็นน้ำใจของภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือประชาชนเคียงข้างรัฐอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกันกับวิกฤติไวรัสโควิท 19ที่โจมตีโลกแบบไม่ทันตั้งตัว เราได้เห็นบรรดาเจ้าสัวมหาเศรษฐีของเมืองไทย ภาคธุรกิจ ยื่นมือกันเข้ามาช่วยตามสรรพกำลังของแต่ละคน
เราได้เห็นเจ้าสัวซีพี ออกมาประกาศควักเงิน 100 ล้าน สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย “แจกฟรี” ให้กับแพทย์ พยาบาล และประชาชน ซึ่งเมื่อเหตุการณ์วิกฤติไวรัสโควิท 19คลี่คลาย ก็จะยกให้ รพ.จุฬาฯ เพื่อสานต่อ ซึ่งงานนี้ แว่วมาว่าทางซีพีได้รวมหัวกระทิในเครือเพื่อมาเร่งสร้างโรงงานอย่างเร่งด่วน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เร็วแต่มีคุณภาพ” ซึ่งงานนี้เจ้าสัวออกมาคอนเฟิร์มเองว่าจะสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ภายใน 5 สัปดาห์นี้แน่นอน นอกจากนี้บริษัทในเครืออย่างซีพีเอฟ ยังได้ส่งอาหารสำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคเฝ้าระวัง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ เรียกได้ว่าจัดเต็มแบบไม่มีกั๊กจริงๆ
นอกจากนี้เรายังได้เห็น “มาดามแป้ง” หรือนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทนประกันภัย จำกัด (มหาชน) ประกาศมอบกรมธรรม์ประกันเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ สถาบันบำราศนราดูร กันไปแบบฟรีๆ
หรือทางฝั่งเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ร่วมกับโรงพยาบาลราชวิถี ร่วมกันระดมทุนจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่มีความจำเป็นเป็นการเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยแก่ประชาชน แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ โดยโครงการนี้มีการระดมทุนเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท และจะเปิดรับการระดมทุนเพิ่มมากขึ้น
ไม่รู้ว่าวิกฤติไวรัสสะเทือนโลกครั้งนี้จะกินเวลานานแค่ไหน และใช้เวลาเท่าใด ถึงจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของผู้คน รวมถึงฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง เพราะอย่าลืมว่าภาคเอกชนเองก็เจ็บหนักจากเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่ากระทบทุกอุตสาหกรรมกันเป็นทอดๆ
ซึ่งหลังจากวิกฤติครั้งยิ่งใหญ่นี้ผ่านพ้นไป ได้แต่คาดหวังว่าภาครัฐจะอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ รวมถึงไม่ลืม ที่จะช่วยเหลือเอกชน ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้อย่างเต็มความสามารถด้วยเช่นกัน.