‘กองทุน’ปรับพอร์ตขายทำกำไร กดดัชนีผันผวน จับตาวินโดว์เดรสซิ่งสิ้นปี
บล.เอเซีย พลัส คาดกองทุนไทย ขายทำกำไรต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้า หลังดัชนีปรับตัวขึ้นแรง ก่อนมีแรงซื้อกลับช่วงสิ้นปีจากการทำ“วินโดว์เดรสซิ่ง” ด้าน บลจ. พรินซิเพิล ชี้ หากดัชนีแตะ 1,400 จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้อ ด้าน บลจ.กรุงไทย ประเมินหุ้นไทย2สัปดาห์
นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิหุ้นไทยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 คือตั้งแต่ ก.ย. - 16ธ.ค. รวม 36,402 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะเดือนธ.ค.(1-16ธ.ค.) รวม 7,309.22 ล้านบาท โดยเริ่มขายหนักตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังคงเป็นยอดซื้อสุทธิ 44,643.81ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรมรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส กล่าวว่า กองทุนไทยมีการขายหุ้นไทยเพื่อทำกำไรต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งปกติเดือนธ.ค.จะเป็นเดือนที่จะมีแรงซื้อเข้ามาจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ก็จะสามารถชดเชยกับแรงขายได้ แต่ปีนี้ไม่มีแรงซื้อLTFแล้ว ขณะที่ยอดการซื้อของกองทุนเพื่อการออม หรือ SSF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือRMF ยอดซื้อเข้ามาไม่มาก จึงทำให้ไม่สามารถชดเชยกับแรงขายออกมาได้ ประกอบกับเดือนที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยขึ้นแรงย่อมทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาก็เป็นเรื่องปกติ
อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเห็นแรงขายกำไรของกองทุนในประเทศต่อในช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนจากการทำราคาปิดงวดบัญชี (Window Dressing)
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งเดือนแรกธ.ค.นี้ นักลงทุนสถาบันขายหุ้นไทยสุทธิราว 7 พันล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนสถาบัน มีทั้งกองทุนในไทยและต่างประเทศ ซึ่งกองทุนในไทย นอกจากกองทุนรวมแล้ว ยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และประกันชีวิต แน่นอนว่าช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นเร็วระดับ 200 จุดจาก 1,200จุดมาที่1,400จุด จึงมีโอกาสที่จะเห็นการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่จะขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อติดตามปัจจัยต่างๆ ก่อนและรอจังหวะก่อนเข้าซื้อรอบใหม่
ทั้งนี้คาดว่าจะมีแรงขายทำกำไรของกองทุนในประเทศต่อ แต่หากดัชนีปรับตัวลงมาแตะระดับ 1,400 จุด ถือเป็นจังหวะเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเข้าซื้อได้อีกรอบ โดยปัจจัยภายนอกประเทศเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยปรับฐานรอบใหม่ทั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก2 ในสหรัฐและล็อกดาวน์หลายพื้นที่ในยุโรป ทำให้หลายเมืองกลับเปิดประเทศได้ช้ากว่าที่คาด รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานลงมาหลังปรับตัวขึ้นแรง
สำหรับกลุ่มหุ้นที่ยังน่าสนใจลงทุนและให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เป็นกลุ่มหุ้นเติบโตตามเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ปิโตรเคมี พลังงานและการแพทย์ที่ได้ประโยชน์จากวัคซีน รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์ในการเปิดประเทศ ในระยะถัดไป
นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงในช่วง2สัปดาห์ที่ผ่านจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามา มีโอกาสที่ตลาดปรับฐานไซด์เวย์และปัจจุบันเริ่มแผ่วลงไป ทำให้ภาพรวมตลาดมีการปรับพอร์ตขายทำกำไรระยะสั้นกัน แต่ทั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อภาพใหญ่ของการลงทุน หากมีปัจจัยหนุนรอบใหม่ตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้
ในส่วนของ บลจ. ไทยพาณิชย์ มีมูลค่าพอร์ตลงทุนหุ้นไทยราว 1 แสนล้านบาท ก่อนหน้านี้ได้ปรับพอร์ตสลับกลุ่มหุ้นจากหุ้นเติบโต มาเป็นหุ้นมูลค่าและปัจจุบันยังคงถือต่อ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี พลังงาน แบงก์ แต่การเข้าลงทุนรอบใหม่หลังจากนี้ ต้องพิจารณาเลือกหุ้นรายตัว ว่ายังมีการเติบโตต่อหรือไม่และราคาเหมาะสมหรือไม่ เพราะตอนนี้หุ้นบางตัวเกิดราคาเป้าหมายไปมาก ขณะที่ในระยะกลางถึงยาว หุ้นที่ได้ประโยชน์จากวัคซีนสามารถกลับมาน่าสนใจได้เช่นกัน ได้แก่ กลุ่มคอนซูเมอร์และท่องเที่ยว
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน และลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมา200-300จุด มีโอกาสที่ตลาดปรับฐาน ทำให้มีแรงขายทำกำไรระยะสั้นกันออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ความชัดเจนต่างๆ ทั้งจับตาปัจจัยการประชุมเฟด มาตรการกระตุ้นด้านการคลัง คุมสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19
ในขณะนี้และวัคซีนจะใช้ได้เร็วแค่ไหน ทำให้ตลาดช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายปลายปียังมีความผันผวนอยู่มาก และใกล้ช่วงเทศกาลหยุดยาวกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มเบาบางลงไป แต่อย่างไรก็ตามมองว่าในปีหน้าหุ้นไทยยังมีอัพไซด์ มองดัชนีปรับขึ้นแตะ 1,600 จุด ได้
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจจะได้รับการฟื้นตัวในปีหน้าทั้งตามทิศทางเศรษฐกิจโลกและความคืบหน้าพัฒนาวัคซีน ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้าง
ทางด้านกองทุนเพื่อการออม หรือ SSF ฝั่งกองทุนในภาพรวม ต่างพบว่า ยังไม่เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามากนัก เนื่องจากมีส่วนหนึ่งไหลเข้ามาในกองทุนSSFX เมื่อกลางปีไปแล้ว ประกอบยอดSSF ต้องนับรวมRMFและPVD ทำให้SSFไม่ดึงดูดมากนัก และคนที่ใช้สิทธิทางภาษีส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรายได้สูงและอายุมากจะสนใจRMFมากกว่า อีกทั้งนักลงทุนมีความรู้มากขึ้น เฉลี่ยลงทุนทั้งปี ซึ่งในปีนี้หุ้นปรับตัวลงหนักถึง2ช่วง ในเดือนมี.ค.และต.ค.ไปแล้วทำให้ไม่เกิดการซื้อกระจุกตัวในช่วงปลายปีที่ตลาดปรับขึ้นแรงเช่นนี้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก