เปิดโผ 28 หุ้น น่าลงทุน
ประจำไตรมาส 3/66
.
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมาก ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงปัจจัยการเมืองไทยที่ยังไม่มีความชัดเจนอีกด้วย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ที่นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน เทขายหุ้นไทยพุ่งสูงเกิน 1 แสนล้านบาทไปเสียแล้ว ดังนั้นคอลัมน์ “โพยหุ้น” ประจำวันจันทร์ ทีมข่าวจึงได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3/66 มาฝากนักลงทุน
.
หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/66 จะอยู่ในช่วงจุดตัดทางแยกที่น่าสนใจ เนื่องจากน่าจะเห็นความชัดเจนในหลายๆด้าน ทั้งการเมืองในประเทศ และแนวนโยบายการเงินของประเทศสําคัญรวมถึงของไทย ซึ่งน่าจะช่วยกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นให้มีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาสนี้
.
ทั้งนี้มองการเคลื่อนไหวของดัชนี SET ในไตรมาสนี้ มีโอกาสปรับตัว Sideways ถึง Sideways down ในช่วงแรกเนื่องจาก 2 ปัจจัยที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งปรากฎการณ์ De-rating ที่มาจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยติดต่อกัน และการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
.
ส่งผลให้ Valuation ของ SET ยังดูไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศอื่นในโลก ที่ยังเห็นการปรับเพิ่มประมาณการอยู่บ้าง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยังไม่เห็นการไหลเข้ามาของ Fund low ในตลาดหุ้นไทย
.
โดยคาดการณ์ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนอยู่ในระดับต่ำต่อไป ทั้งจากการมีส่วนร่วมของนักลงทุนประเภท High Frequency Trade ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงสภาพคล่องภายในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ
.
อย่างไรก็ตามปัจจัยเหล่านี้ล้วนจะทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยทรงตัวต่ำต่อไป แนะนำใช้ความระมัดระวังอย่างสูงกับการเข้าลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความยากลำบากในการไถ่ถอนได้
.
ดังนั้นแนะนักลงทุนใช้กลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อ ตามกรอบแนวด้าน-แนวรับต่อไป ซึ่งยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีหลังนี้ ประเมินกรอบแนวต้านแรกที่ระดับ 1,570 จุด และแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1,600 จุด
.
ในทางกลับกัน มองกรอบแนวรับแรกที่บริเวณ 1,490 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,450 จุด ในเชิงของตัวหุ้น แนะนำนักลงทุนมองหาจังหวะการเข้าสะสมในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมาแรงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน
.
ทั้งนี้สรุปธีมการลงทุนและกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำไตรมาส 3/66 ได้แก่ 1.กลุ่มที่อิงกับภาคการบริโภคในประเทศ ได้แก่ BBL, KTB, CPAXT, BJC, CRC, M 2.กลุ่มที่อิงการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, SPA, AU 3.กลุ่มโรงพยาบาลที่เตรียมจะผ่านพ้น Seasonal low ในช่วงไตรมาส 2 ได้แก่ BH, BDMS, BCH, CHG, PR9
.
4.กลุ่มพลังงานที่ราคาหุ้นปรับลงมามาก รับข่าวร้าย Earnings ที่อ่อนแอในไตรมาส 2 ไปแล้วได้แก่ BCP, IRPC, PTTGC, TOP 5. กลุ่มส่งออกอาหาร/เกษตร ที่ผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นตัวในครึ่งหลังปีนี้ ได้แก่ BTG, CPF, GFPT และ 6.กลุ่มที่ Price in นโยบายทางการเมืองไปมากแล้วจน Valuation อยู่ในโซนที่น่าสนใจ ได้แก่ BGRIM, GPSC, TRUE
.
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3/66 “ณ ทางแยก” โดธนาคารกลางหลัก ๆ ต่างมาถึงทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งการตัดสินใจที่สําคัญที่สุดอยู่ที่ ธนาคารกลางสหรัฐที่ยังคงส่งสัญญาณว่าจะยังขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้
.
โดยมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวทําให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดภาวะการเงินที่ตึงตัวมากเกินไปจนฉุดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงราคาสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงที่เหลือของปีนี้
.
รวมทั้งฝ่ายวิจัยเห็นด้วยว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง แต่ก็มีหลักฐานว่าเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่บางสํานักคาดการณ์เอาไว้ การลดลงของเงินเฟ้อเริ่ม เห็นได้จากการที่ค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อลดลง และบริษัทต่าง ๆ ลดการจ้างคนงานประเภทชั่วคราว และลดชั่วโมงทํางานลง ซึ่งมองว่า น่าจะทําให้ Fed คงดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับปัจจุบันไปก่อน
.
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังประคองตัวได้ค่อนข้างดี แต่ยังมีอุปสรรคหลายอย่างรออยู่ข้างหน้า คาดว่าการส่งออกที่อ่อนแอลงจะเป็นตัวฉุดทั้งการบริโภค และการลงทุน ในขณะที่ภาคบริการต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการที่จะเติบโตอย่างมีนัยสําคัญจากระดับปัจจุบัน
.
แม้ว่าเงินเฟ้อของไทยจะชะลอลงมาอย่างมาก แต่ธนาคารกลางยังไม่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนทิศทางแนวโน้มนโยบายการเงิน ท้ายที่สุดความไม่ชัดเจนทางการเมืองยิ่งทําให้เศรษฐกิจชะลอตัวหนักขึ้น รวมถึงทําให้ตลาด underperform ด้วย
.
โดยประเทศไทยยังอยู่ในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น จึงยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งจากสถิติในอดีต ความไม่แน่นอนทางการเมือง (ไม่ว่าในรูปแบบใด ๆ) มักจะส่งผลลบกับตลาด และในอดีตทําให้ดัชนี SET ลดลงประมาณ 90 จุด
.
อย่างไรก็ตามภาวะตลาดในปัจจุบันน่าจะช่วยหนุนตลาดทุนในอีกสองสามเดือนข้างหน้า เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าถูก โดยความคาดวังว่าจะมีนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตทางทั้งพรรคก้าวไกล และเพื่อไทยจะช่วยหนุนภาวะตลาด
.
สำหรับหุ้นเด่นแนะนำ “ซื้อ” ประกอบด้วย ADVANC ราคาเป้าหมาย 250 บาท BBIK ราคาเป้าหมาย 140.00 บาท BE8 ราคาเป้าหมาย 55.00 บาท SAPPE ราคาเป้าหมาย 110.00 บาท TRUE ราคาเป้าหมาย 9.00 บาท
