ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตลาดหุ้นเขียวอี๋!

โดย INFINITY
เผยแพร่ :
79 views

ตลาดหุ้นเขียวอี๋! แห่ช้อนซื้อจนของหมดดอย รับความหวังเฟดลดดอกเบี้ย | Podcast Available

สวัสดีค่ะทุกคน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่งทำสถิติพุ่งแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมกันค่ะ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมนักลงทุนถึงกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง? แล้วสัญญาณแบบนี้มันดีจริงหรือเป็นแค่ภาพลวงตาระยะสั้น? เดี๋ยวแอดจะมาเล่าให้ฟังค่ะ

 

ตลาดหุ้นคึกคัก นักลงทุนแห่ "ช้อนซื้อของถูก"

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเขียวสดใสอีกครั้ง โดยดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะประกอบด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ที่สุด 500 แห่ง ได้พุ่งขึ้นถึง 1.5% ถือเป็นการปรับตัวขึ้นในวันเดียวที่แรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเลยทีเดียวค่ะ

โดยหุ้นเกือบ 85% ในดัชนีนี้ปิดบวกกันถ้วนหน้า นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Meta ที่ราคาพุ่งขึ้นกว่า 3.5% หลังจากที่เพิ่งโดนเทขายไปก่อนหน้านี้

ปรากฏการณ์นี้เกิดจากสิ่งที่นักลงทุนเรียกกันติดปากว่า "Dip Buying" หรือการ "ช้อนซื้อตอนย่อ" นั่นเองค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นดีๆ ตกลงมาในระยะสั้น นักลงทุนก็จะมองว่าเป็นโอกาสทองในการเข้าไปซื้อเก็บไว้ในราคาที่ถูกลง เพราะเชื่อว่าพื้นฐานของบริษัทยังดีอยู่และราคาจะกลับมาสูงขึ้นได้อีกในอนาคต

 

สองปัจจัยหลักหนุนตลาด: กำไรแกร่งและความหวังลดดอกเบี้ย

คำถามคือ... ทำไมนักลงทุนถึงกล้ากลับเข้ามา "ช้อนซื้อ" กันอย่างมั่นใจ? คำตอบอยู่ที่ 2 ปัจจัยหลักค่ะ

1. ผลประกอบการบริษัทแข็งแกร่งเกินคาด

นี่คือข่าวดีที่สำคัญที่สุดเลยค่ะ ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ผลกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ในไตรมาสที่สองนั้น เพิ่มขึ้นถึง 9.1% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ถึง 3 เท่า! และยังเป็นการทำกำไรได้ดีกว่าคาด (Strongest Beat Rate) ในระดับที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 เลยทีเดียว

ข้อมูลนี้บอกเราว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะมีความไม่แน่นอน แต่บริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ยังคงทำธุรกิจและสร้างผลกำไรได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและกล้าที่จะใส่เงินเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้นนั่นเองค่ะ

2. ความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ย

อีกหนึ่งแรงส่งสำคัญคือการคาดการณ์ของตลาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ กำลังจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเร็วๆ นี้

โดยข้อมูลล่าสุดจากตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย ชี้ว่านักลงทุนให้โอกาสถึง 85% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและภาคธุรกิจถูกลง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และโดยทั่วไปแล้วถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นค่ะ

ความเชื่อมั่นนี้ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อ แมรี เดลี (Mary Daly) ประธาน Fed สาขาซานฟรานซิสโก ออกมาให้ความเห็นว่า "ใกล้ถึงเวลา" สำหรับการลดดอกเบี้ยแล้ว เนื่องจากมีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง และยังไม่เห็นว่าปัญหากำแพงภาษีจะส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างที่กังวลกัน เธอยังเสริมอีกว่า มีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจจะต้องลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งที่เคยคาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ

 

หุ้นเด่นรายตัว: Palantir (PLTR) พุ่งทะยานด้วยพลัง AI

ท่ามกลางความคึกคักของตลาด มีหุ้นตัวหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นก็คือ Palantir Technologies (PLTR) บริษัทซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อในฐานะบริษัทเทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ

ล่าสุด Palantir ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่สองที่ทำให้นักลงทุนต้องทึ่ง ด้วยรายรับที่พุ่งสูงขึ้นถึง 48% แตะระดับมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทให้เหตุผลของความสำเร็จนี้ว่าเป็นผลมาจาก "ผลกระทบอันน่าทึ่ง" ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ความร้อนแรงนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น Palantir ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ตลอดทั้งปีขึ้นเป็น 4.14 - 4.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้มาก ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Palantir ทะยานขึ้นไปแล้วกว่า 500% เลยทีเดียวค่ะ

อเล็กซ์ คาร์ป (Alex Karp) ซีอีโอของบริษัท ได้กล่าวอย่างมั่นใจว่า "เหล่าผู้ที่เคยสงสัยในศักยภาพของเรา ตอนนี้ได้ยอมจำนนแล้ว" เขาย้ำว่าการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI คือกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโต และบริษัทตั้งเป้าที่จะเป็น "บริษัทซอฟต์แวร์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งอนาคต" ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้นักลงทุนในตลาดก็เริ่มจะเห็นพ้องกับวิสัยทัศน์นี้แล้วค่ะ

 

เหรียญมีสองด้าน: สัญญาณบวกและสัญญาณเตือนที่ต้องจับตา

แม้บรรยากาศโดยรวมจะดูสดใส แต่ในฐานะนักลงทุน เราต้องมองภาพให้รอบด้านเสมอค่ะ เพราะยังมีข้อมูลบางอย่างที่ส่งสัญญาณขัดแย้งกันอยู่

 

สัญญาณบวก: นอกจากกำไรที่แข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงความเชื่อมั่นของบริษัทต่างๆ ก็คือ "การซื้อหุ้นคืน (Buybacks)" ค่ะ ข้อมูลจาก Birinyi Associates ระบุว่า ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว บริษัทในสหรัฐฯ ประกาศซื้อหุ้นคืนเป็นมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 165.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถ้านับรวมตั้งแต่ต้นปี ตัวเลขก็สูงถึง 926.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การที่บริษัทใช้เงินมหาศาลซื้อหุ้นของตัวเองคืน เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขามั่นใจในอนาคตของธุรกิจตัวเอง

 

สัญญาณเตือน: ในทางกลับกัน ขณะที่บริษัทกำลังทุ่มเงินซื้อหุ้นคืน กลุ่ม "ผู้บริหารระดับสูง" กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามค่ะ ข้อมูลชี้ว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้บริหารในบริษัท S&P 500 เพียง 151 บริษัทเท่านั้นที่เข้าซื้อหุ้นของตัวเอง ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018 เลยทีเดียว

การที่คนในเทขายหุ้นออกมา อาจเป็นสัญญาณว่าพวกเขาอาจมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันสูงเกินไปแล้วก็ได้

 

ปัจจัยเสี่ยงนอกตลาด: สงครามการค้ายังไม่จบ

อีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องไม่ละเลยคือความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นร้อนแรงระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาประกาศว่าจะ "ขึ้นภาษีอย่างมีนัยสำคัญ" ต่อสินค้าส่งออกจากอินเดีย เพื่อตอบโต้ที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียเป็นจำนวนมาก ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัสเซียท่ามกลางสงครามในยูเครน

ทางอินเดียก็ได้ออกมาตอบโต้ทันควันว่าการกระทำของสหรัฐฯ นั้น "ไม่ยุติธรรมและไร้เหตุผล" และการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเป็น "ความจำเป็น" เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านพลังงานในประเทศ

ความขัดแย้งนี้เป็นอีกหนึ่งความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกได้ทุกเมื่อค่ะ

 

สรุปส่งท้าย: นักลงทุนควรทำอย่างไร?

จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ "ชักเย่อ" กันอยู่ค่ะ ด้านหนึ่งคือปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ย แต่อีกด้านก็มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวและความตึงเครียดทางการเมือง

คำแนะนำจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ เช่น Michael Wilson จาก Morgan Stanley มองว่า แม้ในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนหรือการปรับฐานเกิดขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว ตลาดกระทิง (Bull Market) ยังคงไม่จบลงง่ายๆ ดังนั้น กลยุทธ์ "ซื้อเมื่อย่อตัว" หรือ Buy the Dip ยังคงเป็นแนวทางที่น่าสนใจ

สำหรับแอดเองมองว่า ในช่วงเวลาแบบนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดค่ะ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ และพัฒนาการเรื่องกำแพงภาษี

และการมีมุมมองการลงทุนระยะยาวและไม่ตื่นตระหนกไปกับความผันผวนระยะสั้น จะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ค่ะ เพราะจากสถิติในอดีตแล้ว ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวลงในเดือนสิงหาคมและกันยายนค่ะ เราก็รอหาโอกาส buy on dip กันค่ะ

 

 

ขอบคุณเนื้อหาที่มาจาก. Beauty Investor


INFINITY