ยุคที่ 1 : การประเมินทางด้านเทคนิค ( Technical Analysis )
เป็นวิธีดั้งเดิมและเป็นการประเมินโดยการใช้ อีเลียดเวฟ ทฤษฎีดาวส์ การใช้กราฟ การใช้แท่งเทียนและเส้นค่าเฉลียเป็นต้น ส่วนใหญ่การประเมินแนวนี้จะเป็นการเก็งกําไรในระยะเวลาสั้นๆ วอเร็น บัฟเฟตต์ก็เคยใช้การประเมินในแนวนี้ในช่วงแรกๆของการลงทุน แต่ไม่ใด้ผลจึงเปลี่ยนมาเป็นแนวการประเมินทางด้านพื้นฐานซื่งจะกล่าวในหัวข้อถัดไป
ยุคที่ 2 : การประเมินทางด้านพื้นฐาน ( Fundamental Analysis )
เป็นการประเมินโดยใช้ค่า P/E Ratio, P/B Ratio และ Dividend Yield เป็นหลัก โดยค่า P/E และ P/B Ratio ยิ่งตํ่า ยิ่งดี แสดงว่าหุ้นมีราคาถูก ส่วน Dividend Yield ยิ่งสูง ยิ่งดี แสดงถึงผลตอบแทนที่ดีในการลงทุน วอเร็น บัฟเฟตต์ ยึดถือแนวนี้เป็นพื้นฐานในการลงทุน ส่วนใหญ่การประเมินแนวนี้จะเป็นการลงทุนในระยะยาว
พัฒนาการในเวลาต่อมาของแนวนี้ ในสมัย Peter Lynch ได้เพิ่มค่า G หรือการเติบโตในอนาคตเข้าไปด้วย จนกลายเป็น P.E.G ( หรือ P/E Ratio / G ) โดยถ้า P.E.G ตํ่ากว่า 1 ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน แต่ถ้า P.E.G สูงกว่า 1 ถือว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
ยุคที่ 3 : การประเมินโดยใช้ทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ ( Efficient Market ) เข้ามาคํานวนโดยใช้สูตรคํานวนทางคณิตศาสตร์
สูตรคํานวนทางคณิตศาสตร์ทางคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงตามแนวนี้ มี 2 สูตรคือ :
1) Capital Asset Pricing Model หรือ CAPM โดย อาจารย์ William Sharp
และ
2) Abritage Pricing Theory หรือ APT โดย อาจารย์ Stephen Ross
การประเมินมูลค่าหุ้นในสูตร APT นั้นมองว่า ปัจจัยประเมินมูลค่าหุ้นไม่ใด้มาจากความเสียงของตลาดแต่เพียงอย่างเดียวเช่นในสูตร CAPM แต่มาจากปัจจัยเสียงอื่นๆด้วย
ยุคที่ 4 : การประเมีนมูลค่าอนุพันธ์ ( Derivative )
สินค้าอนุพันธ์แบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ : Future, Option, Forward และ Swap
สูตรการคํานวนอนุพันธ์ที่มีชือเสียงมี 2 สูตร คือ Black-Sholls Model และ Monte Carlo Model
แบบจําลองของอนุพันธ์ มี 2 แบบ คือ
1) Backwardation เป็นแบบจําลองที่ Future Price ตํ่ากว่า Spot Price
2) Contango เป็นแบบจําลองที่ Future Price สูงกว่า Spot Price