หลังจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี พ.ศ 2551 และวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปในปี พ.ศ 2553 - 2555 แล้ว ความพยายามในการปฏิรูปเศรษฐกิจยุโรปผ่านมาตรการรัดเข็มขัดด้านการคลัง ความพยายามจัดตั้งสหภาพธนาคาร รวมทั้งมาตรการทางด้านการเงินของธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) ทําให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ โดย IMF คาดว่าเศษรฐกิจจะขยายตัวประมาณ 1.7% ในปี พ.ศ 2559 และชะลอลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.5 - 1.6% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณตึงตัว โดยอัตราการว่างงานกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปี พ.ศ 2543 - 2559 ที่ 9.5% ต่อกําลังแรงงานรวม เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ( แม้จะยังห่างไกลจากเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2.0% ก็ตาม ) แต่ภาคการเงินยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะสินเชื่อที่ยังไม่ขยายตัว ซึ่งเป็นผลจากภาคธนาคารที่ยังมีปัญหาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) ก็ยังคงอัดฉีดเม็ดเงินต่อเนื่องผ่านมาตรการ QE เป็นจํานวน 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และ ลดลงเป็น 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนในเดือน เมษายน ปี พ.ศ 2560 และ จะลดลงเป็น 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนในเดือน มกราคม ปี พ.ศ 2561 ไปจนถึงเดือน กันยายน ปี พ.ศ 2561 หลังจากนั้น จึงจะยุติการอัดฉีดสภาพคล่อง และยังคงอัตราดอกเบี้ยรับฝากจากธนาคารพาณิชย์ ให้อยู่ที่ -0.40%