28 พฤษภาคม 2561 -- Weekly Strategy : บล.เคทีบี(ประเทศไทย)
SET Index 1741.2 จุด
28 May -1 June 2018
“การต่อสู้กันระหว่าง บวกและลบ ”
- ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : เรายังคงกรอบดัชนีฯเหมือนสัปดาห์ก่อน คือ 1720-1780 จุด .... แรงซื้อกลับเมื่อลงไปแตะ 1725 จุดในสัปดาห์ก่อน เพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ปัจจัยหนุน คือราคาหุ้นส่วนใหญ่ลงมามาก ตัวเลข GDP และแนวโน้มศรษฐกิจยังดี เราเล็งผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 30 พ.ค.ว่าน่าจะเป็นบวกต่อตลาด ขณะที่แรงกดดันในเชิงลบ จะเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่คาดยังมีต่อ และราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นตัวแปรใหม่ของตลาด
- กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ : ตลาดยังผันผวนสูง และยังต้องระมัดระวังว่าดัชนีฯจะหลุด 1720 จุด ลงไปหรือไม่จากปัจจัยลบที่มีอยู่หลายตัว ..... กลยุทธ์สัปดาห์นี้ ยังแนะนำเพิ่มเงินสดในมือ ลดการถือหุ้นที่ซื้อขายด้วย P/E เกินปกติ เลี่ยงหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ..... การปรับพอร์ตช่วงนี้ แนะนำหุ้น 4 รูปแบบ คือ หุ้นที่พื้นฐานดี ราคาลงมามาก เราขอบ KBANK , CPF , BH , BGRIM …….. หุ้นที่อิงเรื่องการเลือกตั้ง แนะนำ WHA, STEC*, BEM* …… หุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว เราชอบ TRUE* หลังไม่เข้าประมูลคลื่นโทรศัพท์ในรอบนี้ น่าจะส่งบวกต่อฐานะการเงินและอาจนำไปสู่การ split ใบอนุญาตให้เล็กลง จาก 3 ใบเป็น 9 ใบ ...... ท้ายสุด เนื่องจากตลาดจะมีแนวโน้ม sideway ไปพักใหญ่ๆ หุ้นที่เป็นที่พักเงินและให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี เราแนะนำ LH* และ BTSGIF* ซึ่งให้ Dividend Yield ประมาณ 6% (ข้อมูลอดีต)
- ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index ปิดที่ระดับ 1741.2 จุด ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 13.0 จุด หรือ 0.7% แรงขายของนักลงทุนที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยนสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าสหรัฐฯ และราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง โดยดัชนีฯปรับตัวลงไปต่ำสุดของสัปดาห์ ที่ 1725 จุด เลยทีเดียว
Event สำคัญของสัปดาห์นี้ : ศาลรัฐธรรมนูญเปิดคำวินิจฉัย พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส.ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ (30) สหรัฐฯรายงานตัวเลข GDP และการค้าระหว่างประเทศ (30) MSCI ปรับหุ้นคำนวณดัชนีฯมีผล 31 พ.ค. และตัวเลขภาคการจ้างงานสหรัฐฯ (1)
ปัจจัยต่างประเทศ
- 2 ตัวแปร ชี้ทิศทางของ Fund Flow คือ Bond Yield และ Dollar Index ทั้งนี้ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ สัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนตัวลง จาก 3.05% เป็น 2.93% ผลจาก Fed อาจไม่ได้เร่งปรับดอกเบี้ยขึ้น (คาดยังเป็น 3-4 ครั้งในปีนี้) เรามองเป็นตัวช่วยของตลาด แต่ทว่า ค่าเงินดอลล่าร์ที่เดินหน้าต่อ Dollar Index จาก 93.6 เป็น 94.2 จุด กลายเป็นตัวกดดันต่อตลาด ..... เราประเมินทิศทาง Fund Flow ของนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงไหลออกจากตลาดหุ้นเอเซียอยู่ต่อไป ส่วนหนึ่งมาจาก การปรับพอร์ต หรือขายเพื่อรับการนำหุ้น A-share ของจีน 234 ตัว เข้าคำนวนดัชนี MSCI Emerging Market มีผล 31 พ.ค. โดยหุ้นไทยที่เข้าคำนวณดัชนีฯตัวนี้ คือ LH
- ราคาน้ำมันดิบ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง เป็นลบต่อหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี กลุ่ม OPEC และรัสเซีย พยายามรักษาสมดุลระหว่าง ความต้อการใช้น้ำมันดิบกับเงินเฟ้อ หลังพบว่า supply น้ำมันดิบอาจลดลงจากการ saction อิหร่าน-เวเนซูเอลล่า ด้วยการจะเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ อาจถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (สรุปผล22 มิ.ย.) กลายเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบ ล่าสุด WTI=$67 และ Brent =$76 เหรียญ/บาร์เรล .... มุมมองในทางบวก คือ ความกังวลเงินเฟ้อจะลดลง แต่หุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ของไทยอาจปรับตัวลดลงหรือถูกลดความน่าสนใจตามราคาน้ำมันที่ลดลง
- การเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ยังดำเนินต่อไป ติดตามทั้ง กรณีของ ZTE ที่จะให้จ่ายค่าปรับปละปรับปรุงองค์กร รวมทั้ง นโยบายการค้าที่ยังสร้างความคลุมเครือให้ตลาดอยู่ไป แม้ในการเจรจาครั้งที่ผ่านมาจะออกมาในทางที่เป็นบวกก็ตาม แต่ประธานาธิบดี Trump ยังไม่พอใจนัก
- ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิน พ.ร.ป.เลือกตั้ง 30 พ.ค. มีผลต่อ timeline เลือกตั้ง เราคาดว่าผลที่ออกมาน่าจะคล้ายกับ พ.ร.ป.ที่มา สว.ที่ประกาศไปเมื่อ 23 พ.ค.คือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ หรือหากต้องแก้ไขก็น่าจะใช้เวลาไม่นาน ทำให้กำหนดเลือกตั้ง น่าจะยังคงไว้ที่ ก.พ.62 หรือช้ากว่านั้นไม่น่าเกิน 3 เดือน เรายังมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย หุ้นที่เกี่ยวข้องทางตรง คือ นิคมฯ-รับเหมาฯ-ผู้บริหารการเดินรถไฟฟ้า...... สำหรับ คำสั่ง คสช.53/60 ทาง คสช.สามารถแก้ไขหรือยกเลิกได้ ถ้าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
- คลังฯ – ธปท. จะปรับ GDP ขึ้น เป็นปัจจัยบวกของตลาด ผลจาก GDP q1 ที่โต 4.8% และแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ ก.คลัง ให้ข่าวว่าจะปรับ GDP ปีนี้จากเดิม 4.2% เป็น 4.5% ขณะที่ ธปท.