ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดแนวคิด “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” แนวทางสร้างความสำเร็จจากจุดสมดุล

โดย Forest
เผยแพร่ :
51 views
#scoop เปิดแนวคิด “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” แนวทางสร้างความสำเร็จจากจุดสมดุ
 
 
.
ผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งสามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้กำหนดนโยบายในบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างไอบีเอ็ม (IBM) หลังจากนั้นก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป และรองประธานธุรกิจทั่วไป, IBM ASEAN ก่อนได้รับเลือกเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, สำนักงานใหญ่ IBM, New York, U.S.A.
.
หลังจากนั้นกับการเข้าไปบริหาร ‘ไทยคม’ จนผ่านวิกฤตติดลบฟื้นกำไรมาได้ครั้งแรกทันทีที่เข้ารับตำแหน่งซีอีโอไม่กี่เดือน และปลุกปั้นจนกลายเป็นบริษัทธุรกิจดาวเทียมที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่กล่าวมาทั้งหมดคือคุณสมบัติความเก่งกาจของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เจ้าของฉายา “Super G”
.
จนถึงวันนี้กับบทบาทและความท้าทายใหม่ในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) “ศุภจี” จะมีมุมมอง และแนวคิดในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างไร
.
วางกรอบการทำงาน 9 ปี
ศุภจี บอกว่า ภารกิจแรกที่เข้ามาทำงานเนื่องจากการที่เป็นคนนอกครอบครัวคนแรกที่เป็น CEO จึงต้องหาจุดร่วมกับพนักงานทั้งหมด เพราะพนักงานทั้งหมดอยู่กันมาแบบครอบครัวเป็นระยะเวลาหลายสิบปี โดยต้องแสดงให้พนักงานรู้สึกเชื่อมั่น ให้ได้เห็นถึงทิศทางที่จะเดินไปที่ถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจมองไปในเส้นทางเดียวกัน
.
ทั้งนี้ เนื่องจากแบรนด์ดุสิตอยู่มายาวนาน โดยเนื้อหาหลักของวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้คือ ต้องการที่จะมอบความประทับใจให้คนทั่วโลกได้รู้จัก นี่จึงเป็นเสมือนการสร้างจุดร่วมให้กับพนักงาน เมื่อสร้างวิสัยทัศน์ได้แล้วในลำดับถัดไปก็เริ่มที่จะตั้งธงว่า การเดินไปข้างหน้าควรจะมีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นก็ตั้งเป็นเป้าหมาย 3 ข้อ ได้แก่ ทำอย่างไรให้มีความสมดุลมากขึ้น, ทำอย่างไรให้ขยายตัวได้ครอบคลุมมากขึ้น และทำอย่างไรให้กระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น
.
โดยวางกรอบการทำงาน (framework) เอาไว้ทั้งหมด 9 ปี ซึ่ง 3 ปีแรกจะทำในเรื่องของการสร้างพื้นฐาน โดยจะมีเรื่องของโครงสร้างองค์กร หลังจากนั้นอีก 3 ปี จะเริ่มเห็นการเจริญเติบโต ขณะที่ 3 ปีสุดท้ายในไตรมาสที่ 3 ของ 9 ปีจะทำให้ดุสิตเติบโต แล้วก็กลายเป็น next Chapter เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
.
โครงการ Mixed-Use สร้างรายได้ระยะสั้น-ยาว
ศุภจี บอกต่อไปว่า โรงแรมดุสิตธานีมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ถือว่าเป็นหมุดหมายของกรุงเทพมหานคร เป็นจุดที่เป็น Landmark ที่คนที่ผ่านไปผ่านมาหรือชาวต่างชาติต้องมาแวะเวียนที่นี่ โดยเป็นตึกที่ตั้งตระหง่านอยู่เป็นระยะเวลากว่า 50 ปี ซึ่งภารกิจก็คือ จะต้องทำอย่างไรให้ตึกดังกล่าวนี้หรือความเป็นดุสิตธานียังคงอยู่ตามเจตนารมณ์ของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ดังนั้น จึงต้องทำให้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และตอบโจทย์เจตนารมณ์ของท่านผู้หญิง โดยสิ่งที่แน่ชัดก็คือตัวโรงแรมต้องยังคงอยู่ ยังจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ที่ยังคงความเป็นดุสิต แต่ต้องเติมในเรื่องของความทันสมัยหลายอย่างเข้าไปผสานผสานกัน
.
นอกจากนี้ ก็จะต้องทำพื้นดินตรงนี้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยมองว่าโรงแรมอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ เพราะเราต้องการทำให้กลายเป็นจุดหมายที่เป็นเหมือนสถานที่ที่คนเมืองมาใช้ชีวิตร่วมกัน ดังนั้น เราจึงทำโครงการที่เป็นลักษณะของ Mixed-Use ซึ่งจะช่วยทั้งการสร้างรายได้ในระยะยาวและระยะสั้น โรงแรมดังกล่าวจึงต้องลงทุนจำนวนมากกว่าจะมีรายได้กลับมา เราก็จะทยอยเก็บไปเรื่อย ๆ โดยอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี แต่ขณะเดียวกันก็จะมีส่วนอื่นที่สร้างรายได้ได้เลยทันที เป็นรายได้ที่เกิดซ้ำ (recurring business) อย่างรวดเร็วจากผู้ที่อยู่อาศัย (Resident)
.
อย่างไรก็ดี ยังมีส่วนที่เป็นออฟฟิศซึ่งทั้ง 4 ส่วนประกอบจะเอื้อซึ่งกันและกัน โดยส่วนที่เป็นหัวใจของโครงการก็คือ “โรงแรม” ซึ่งยังเป็นเอกลักษณ์ของเรา โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปากรที่มาช่วยจัดการดูว่าส่วนใดที่ควรเก็บ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประวัติ รวมถึงงานวิจิตรศิลป์ งานหัตถกรรม งานสถาปัตยกรรม โดยนำมาใส่ไว้ที่โรงแรมใหม่ด้วย แม้กระทั่งยอดสีทองด้านบนก็ยังเก็บไว้ เมื่อโรงแรมใหม่เสร็จ ก็จะนำยอดดังกล่าวมาตั้งตระหง่านอยู่เหือนเดิม โดยมียอดใหม่ครอบอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะเป็นแบบโปร่งที่สามารถมองเห็นยอดเดิมข้างในได้
.
“เราพยายามผสมผสานระหว่างความเป็นตำนาน ความเป็นประวัติศาสตร์ยาวนานของดุสิต แต่เติมในเรื่องของความใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ด้วย ก็จะเป็นการผสมผสานเรื่องของสิ่งที่เคยเป็นมานาน และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน”
.
หลักคิดใหญ่อยู่ที่จุดเริ่มต้น
.
ศุภจี บอกต่อไปอีกว่า การสร้างเรื่องราว (Story) ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ เนื่องจากโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกของทุกเรื่องมีที่มาที่ไป การที่เรามีประวัติที่ยาวนานเป็นสิ่งมีค่าที่ควรเก็บไว้ ดังนั้น หากเราสามารถถ่ายทอดสิ่งที่สวยงามให้คนในปัจจุบันและอนาคตเข้าใจได้ จะเป็นส่วนที่เสริมทำให้โครงการของเรามีลักษณะที่ไม่เหมือนใคร
.
หลักคิดใหญ่ คือ เราต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น หรือจะกล่าวก็คือ ตั้งต้นด้วยอะไรเราก็ต้องเดินไปทิศนั้น วัตถุประสงค์ของกลุ่มดุสิต ก็คือการที่จะเป็นแบรนด์ตัวแทนของคนไทยที่มีความแข็งแรงมาตรฐานโลก ที่จะเทียบเคียงและสู้กับคนทั่วโลกได้ โดยเป็นตัวแทนของประเทศในการนำเสนอความเป็นไทยออกไปให้คนรู้จัก นี่คือเป้าหมายหลัก เพราะฉะนั้น แนวคิดนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหน
.
“คนเราต้องเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นก็คือ วัตถุประสงค์ในการที่เราจะดำเนินธุรกิจไป เราก็จะดูว่าเราจะสามารถที่จะไปตอบโจทย์ตรงนี้ได้อย่างไรคิดว่าคงจะต้องเริ่มจากจุดเริ่มต้นตรงนี้”
.
ศุภจี ปิดท้ายถึงแนวทางในการสร้างความมั่งคั่ง หรือแนวทางในการบริหารที่ใช้เป็นประจำในการทำธุรกิจว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริงขึ้นอยู่กับว่า เรามีความสมดุลกับสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่ โดยความสมดุลมีอยู่ด้วยกันหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตครอบครัว ชีวิตส่วนตัว ซึ่งเรื่องการใช้ชีวิตในการทำงานก็ต้องมีความสมดุลทางด้านการเงินที่ทำให้สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ ดังนั้น หลักที่จะทำให้เกิดความสมดุลได้ต้องมาพร้อมกันระหว่างสติปัญญา โดยปัญญาคือ ความเก่ง ความฉลาด ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับวิธีการทำให้รวย ทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือการอย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ต้องมาพร้อมกับสติ โดยสติจะทำให้รู้ว่าเราต้องสมดุลไม่ใช่ว่าต้องการเร่งเดินไปข้างหน้าเร็วเกินไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะ บางครั้งเราต้องหยุดบ้าง เร่งบ้าง ทำทุกอย่างแบบมีสติ ทำให้เกิดความสมดุล และสุดท้ายคือต้องตั้งต้นที่เป้าสมดุล
 
 

Forest