
SET Index ครึ่งปีแรกให้ผลตอบแทน 2.06% ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย โบรกฯ เปิดสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบเดือน ก.ค. ต่างชาติมีโอกาสกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง สวนทางกับกองทุนที่ขายสุทธิ ส่งผลให้ดัชนีฯ อาจไม่ขยับ โดยคาดหุ้นไทย จะปรับฐานในช่วง 2 เดือนนี้ ตามหุ้นต่างประเทศ ก่อนกระเตื้องขึ้นในเดือน ก.ย. ด้าน FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลงเล็กน้อย จับตานโยบายการเงินสหรัฐฯ
ดัชนีตลาดหุ้นไทย ในวันแรกของการเข้าสู่ครึ่งหลังปี 2560 ปิดที่ 1,579.41 จุด เพิ่มขึ้น 4.67 จุด มูลค่าการซื้อขาย 29,995.55 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 408.34 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 775.92 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 482.84 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 701.42 ล้านบาท
** หุ้นไทยผลตอบแทนต่ำสุดในภูมิภาค
บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ถึงภาพรวม SET Index ในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีตลาดหุ้นไทยแทบไม่เปลี่ยนแปลง คือเพิ่มขึ้นเพียง 2.06% เท่านั้น (เทียบกับ 1H59 ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 8.33% และทั้งปี 2559 เพิ่มขึ้นเกือบ 20%) ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซีย อาทิ มาเลเซีย 7.43% อินโดนีเซีย 10.06% ฟิลิปปินส์ 14.66% อินเดีย 16.13% ฮ่องกง 17.11% และเกาหลีใต้ 18.14% (ยกเว้น จีน 2.86%)
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนมากสุดในภูมิภาค และ EPS Growth ของไทยที่ต่ำเพียง 7.1% ในปีนี้ ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นมาเลเซียที่โต 7.7% แต่น้อยกว่าอินเดียที่เติบโต 10.2% และอินโดนีเซีย 17.8%
** เปิดสถิติเดือน ก.ค. ต่างชาติซื้อ-กองทุนขาย
สรุป Fund Flow ในเดือน มิ.ย. 60 พบว่า ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเกือบทุกประเทศ ด้วยมูลค่ารวม 2.44 พันล้านบาท ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ถูกขายสุทธิราว 325 ล้านเหรียญ และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อยราว 5 ล้านเหรียญ หรือ 162 ล้านบาท
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. คาดว่ากระแส Fund Flow จากต่างชาติมีโอกาสกลับมาซื้อสุทธิในหุ้นไทยอีกครั้ง จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี นักลงทุนต่างชาติมักมีสถานะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. เฉลี่ยราว 6.5 พันล้านบาท โดยซื้อสุทธิ 4 ใน 5 ปี สวนทางกับนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่มักขายสุทธิในเดือน ก.ค. ด้วยมูลค่าเฉลี่ยถึง 6.9 พันล้านบาท จึงอาจทำให้การปรับขึ้นของ SET Index อยู่ในกรอบจำกัด และยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 5 ปีในเดือนนี้ ซึ่ง SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 0.53% เท่านั้น
** คาดดัชนีปรับฐาน 2 เดือนตามหุ้นโลก
ด้าน บล.ทิสโก้ มองตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงต่อการปรับตัวลงในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า (เดือน ก.ค. - ส.ค.) จากปัจจัย
(1) โอกาสเกิดการปรับฐานของหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะฉุดให้ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงตาม หลังการประเมินมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ ตึงตัวมาก โดยคิดเป็นP/E เกือบ 18x นับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ Dot Com Bubble ในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่มีการพักฐานลงเกินกว่า 5% มานานเกือบ 1 ปีเต็มแล้ว ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจในแง่บวกแล้ว
(2) การเริ่มลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งเราคาดว่า FED จะประกาศแผนการลดงบดุลลงในการประชุมเดือน ก.ย. สิ่งนี้น่าจะกดดันให้ราคาหุ้นโลกผันผวนคล้ายๆ กับช่วงที่ FED ยุติมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QEs) ซึ่งหากดูผลกระทบในอดีตแล้ว หุ้นโลกจะแกว่งลงโดยเฉลี่ยประมาณ 8-10% ผสานกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่เริ่มส่งสัญญาณเข้มงวดเร็วขึ้นกว่าที่คาดเดิม
(3) ห่วงเงินบาทจะกลับทิศ เพราะในช่วงครึ่งปีแรก เงินบาทแข็งค่าขึ้นมามากแล้ว ขณะที่ครึ่งปีหลังมักอ่อนค่าตามปัจจัยฤดูกาล นอกจากนี้ เงินบาทกำลังทดสอบกรอบแนวรับสำคัญทางเทคนิค ซึ่งเราให้น้ำหนักน้อยที่บาทจะแข็งค่าลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 34 บาท/ดอลลาร์ฯ มากๆ
(4) กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยใน 2Q17F ที่จะประกาศช่วงกลางเดือน ก.ค. - กลางเดือน ส.ค. มีแนวโน้มเป็นลบ เบื้องต้นคาดจะลดลง 12% YoY และ 8% QoQ จากโอกาสเกิดผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน-สินค้าคงคลังของหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ประกอบกับฐานกำไรของหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ค่อนข้างสูงในปีที่แล้ว
** มองเป็นโอกาสซื้อรับการฟื้นตัวเดือน ก.ย.
อย่างไรก็ดี เรามองความผันผวนของราคาหุ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้เป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อสะสม คาดตลาดจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป (ก.ย. - ต.ค. เป็นต้นไป) โดยจะได้รับปัจจัยขับเคลื่อนจากภาวะเศรษฐกิจที่คาดจะเร่งตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเรามอง GDP Growth จะค่อยๆ เร่งตัวขึ้นแตะระดับ 4% ในไตรมาส 4 จาก GDP Growth ในไตรมาส 2 ที่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำของปีนี้ที่โต 3.1% (สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขช่วงกลางเดือน ส.ค.)
ด้านแนวโน้มกำไรปี 17-18F ของบริษัทจดทะเบียนไทยยังเติบโตน่าพอใจ เฉลี่ยราว 10% ต่อปี ซึ่งกำไรที่เติบโตนี้จะสนับสนุน SET Index ให้ปรับตัวสูงขึ้นเอง ด้วยปัจจุบันเราซื้อขายเหวี่ยวตัวในกรอบ Fwd. PER 14.5-15 เท่า และอิงจากความสัมพันธ์ SET Index กับคาดการณ์ EPS เราจะได้ระดับ SET Index ที่เหมาะสม ณ สิ้นปี 17F และ 18F ที่ 1650-60 จุด และ 1830-1840 จุด ตามลำดับ
** ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนปรับลงเล็กน้อย
ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือน ก.ค. 60 ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ย.60) อยู่ที่ 100.1 อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 0-200) หรือปรับตัวลดลง 1.62% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 101.66
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนล่าสุดปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย โดยกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนกลุ่มสถาบันภายในประเทศปรับตัวลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้ ภาพรวมทั้ง 3 กลุ่มถือว่ายังอยู่ในระดับทรงตัว ขณะที่กลุ่มบัญชีนักลงทุนต่างประเทศ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่อยู่ในระดับร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนก่อน
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ หมวดบริหารรับเหมาก่อสร้าง (CONS) ส่วนหมวดแฟชั่น (FASHION) เป็นหมวดธุรรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
สำหรับปัจจัยหนุนที่มีอิทธพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด ไคือ นโยบายการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ นโยบายทางการเงินของสหรัฐ
นายสันติ กีระนันท์ ผู้แทน FETCO กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในภาวะทรงตัวจากความเชื่อมั่นในนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามการคาดการณ์ ขณะที่ทิศทางนโยบายทางการเงินของสหรัฐ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลของสหรัฐฯ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯเคลื่อนไหวปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา
Cr. Efin