ห้องเม่าปีกเหล็ก

ชี้ 3 เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย

โดย dave
เผยแพร่ :
91 views

EIC ชี้ 3 เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย -7.8% “ธุรกิจเพิ่ม-ว่างงานกระฉูด-หน้าผาคลัง”

EIC แบงก์ไทยพาณิชย์ สแกนเศรษฐกิจไทยสะดุด 3 แผลเป็นจากโควิด “ธุรกิจปิดเพิ่ม-ว่างงาน 2.5ล้าน-หน้าผาคลัง” พร้อมปรับลดGDP ปีนี้หดตัว 7.8% เผยครึ่งปีหลัง รัฐอัดฉีดเม็ดเงินแผ่ว ภาคธุรกิจหมดมาตรการ ขาดสภาพคล่อง หนี้เสียพุ่ง ระบุครึ่งปีหลังรัฐใช้เม็ดเงินอัดฉีดเศรษฐกิจต่ำเกินคาด กดดันการฟื้นตัวได้แค่ช้าๆ ฟันธง ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ถึงสิ้นปี เน้นออกมาตรการต่อเนื่องดูแลปัญหาเฉพาะด้าน


ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการ ผู้บริหารสูงสุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปีนี้ไปแล้ว โดยหดตัวถึง -12.2% สูงสุดในรอบ 22 ปี และแม้ว่าได้มีการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภท ได้ปรับตัวดีขึ้น แต่ในช่วงหลังนี้ การฟื้นตัวของหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีสัญญาณช้าลง หรือมีลักษณะทรงตัว EIC คาดการณ์ไว้ว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปแบบช้า ๆ เนื่องจากยังมีอีกหลายอุปสรรค ที่กดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะครึ่งปีหลัง ทั้งภาคท่องเที่ยวต่างชาติที่คงซบเซาต่อเนื่อง และการใช้เงินของมาตรการภาครัฐที่ลดลงกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่มีเงินเยียวยาเข้าสู่ระบบ ทำให้เกิดปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal cliff) ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ยังต้องการความช่วยเหลือต่อเนื่อง จาก 2 ปัจจัยเสี่ยงหลัก EIC จึงได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2563 เป็น -7.8% ภายใต้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดเหลือ 6.7 ล้านคน และปีหน้า เติบโต 3.5% 


“ครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แม้ว่าการส่งออกจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดยเดือนก.ค ติดลบ 14% (ไม่รวมทองคำ-อาวุธ) ดูจากดัชนี PMI (การผลิตภาคอุตสาหกรรม) สะท้อนการส่งออกฟื้นตัวช้า เมื่อรวมกับรายได้ภาคท่องเที่ยวต่างชาติ ที่คาดว่ายังไม่เข้ามา ทำให้ ยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่มากนัก และวิกฤตโควิด ทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นมาก ทั้งการปิดกิจการ การว่างงาน ปัญหางบดุลของบริษัทเอกชน ทำให้ไม่เห็นการลงทุนเกิดขึ้น นับเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวไม่ได้มากนัก” ดร.ยรรยงกล่าว


โดยแผลเป็นที่สำคัญ 3 ด้าน ดังนี้ ด้านแรกจะเห็นการปิดกิจการที่เพิ่มมากขึ้น ในช่วงเดือนก.ค. มีการปิดกิจการเร่วตัวขึ้น 38% ธุรกิจที่น่าเป็นห่วงมากคือ โรงแรม สิ่งทอยานยนต์ ขณะที่ธุรกิจเปิดใหม่ ลดลง หรือติดลบ 13% ซึ่งแปลว่าจะเกิดการจ้างงานลดลง การลงทลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวในระดับสูงต่อเนื่อง


ซึ่งแผลเป็นแรก จะซ้ำเติมอีกแผลเป็นทางเศรษฐกิจ คือ ความเปราะบางของตลาดแรงงาน โดยในช่วงไตรมาส 2 อัตราว่างงานของไทยเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.95% สูงที่สุดในรอบ 11 ปี นอกจากนี้ รายได้ของแรงงานที่ยังมีงานทำก็มีแนวโน้มหดตัวลงมากจากชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ตามจำนวนงานเต็มเวลาและงานโอทีที่หายไป โดยบางส่วนกลายเป็นงานต่ำระดับ (underemployment) ขณะที่มีจำนวนแรงงานที่ต้องหยุดงานชั่วคราว (furloughed workers) เพิ่มขึ้นสูงถึง 2.5 ล้านคน และในบางช่วงอาจเห็นการว่างงานกระโดดไปถึง 3-5 ล้านคนได้ หากเศรษฐกิจแย่จริงๆ ซึ่งเราทำคาดการณ์GDP ติดลบ 10-11% ในกรณีเลวร้ายสุดๆเกิดโควิดรอบ 2 และมีการล็อดคาวน์อีก ดังนั้นปัญหาว่างงานนับเป็นปัญหาสะท้อนความอ่อนแอของตลาดแรงงานที่มีในระดับสูง


“ ในไตรมาส 2ที่ผ่านมา เห็นตัวเลขคนว่างงานอายุน้อยที่เพิ่งจบใหม่ 3 แสนคน ซึ่งพวกนี้ไม่มีประสบการทำงานมาก่อนเลย ขณะที่คนว่างงานที่สีอายุมากกว่า จะตกงานอยู่สัดส่วน 1-2% เท่านั้น จึงน่ากังวลมาก หากคนกลุ่มนี้จะตกงานระยะยาว กลายเป็นปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจไทย เมื่อรวมกับแรงงานที่ย้ายไปอยู่ในเกษตรที่มีการจ้างงานราว 7 แสนคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มาจากภาคบริการท่องเที่ยว กลุ่มพวกนี้มีรายได้ลดลงจากเดิมมาก จึงมองว่าอัตราว่างงานไม่ใช่ 2% แล้ว แต่จะกระโดดขึ้นไปเป็น 7% ขณะที่คนที่บอกมีงานทำแต่รายได้ลดลงจนไม่พอใช้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนว่างงาน ข้อมูลจาก JOB BB ก็มีแนวโน้มการจ้างงานที่ลดต่ำลง โดยก่อนโควิดมีการจ้างงาน 1.5 หมื่นคน ปัจจุบันอยู่ที่ 1.05 หมื่นคน “ดร.ยรรยงกล่าว


ซึ่งทั้งสองแผลเป็นดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งในการรักษาเยียวยา โดยหากระดับการปิดกิจการและการว่างงานเพิ่มขึ้นในระดับสูงและยืดเยื้อย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ การบริโภค และการลงทุน ซึ่งนับเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ


ขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่เน้นเก็บออมในช่วงเวลาวิกฤติ เนื่องจากยังกังวลต่อความไม่แน่นอนในอนาคต จึงมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมาก ส่งผลให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจลดลง นับเป็นอีกอุปสรรคขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย


ส่วนแผลเป็นที่สาม คือ ปีนี้ รัฐบาลมีการใช้เม็ดเงินต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยล่าสุดที่รัฐบาลได้รับอนุมติภายใต้ พรก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท อยู่ที่ประมาณ 4.75 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้า ดังนั้น EIC จึงปรับลดคาดการณ์เม็ดเงินที่จะเข้าสู่เศรษฐกิจในปีนี่เหลือเพียงประมาณ 5 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ประมาณ 6 แสนล้านบาท จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการปรับคาดการณ์ GDP ลดลงในรอบนี้


“ยังมีประเด็นความเสี่ยงอีกเรื่องหน้าผาทางการคลัง จากการที่เม็ดเงินช่วยเหลือของรัฐบาลที่มีการเบิกจ่ายไปมากในช่วงไตรมาส 2 จะปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่รายได้จากภาคท่องเที่ยวและส่งออกยังคงซบเซา ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนบางกลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบหนัก และเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวในระยะต่อไปได้โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนปีนี้ คาดติดลบ 2.3% และการลงทุน -12.6% ซึ่งการลงทุนจะแย่หนักกว่า 2ไตรมาสแรก ด้านการส่งออกติดลบ 21.8% ส่วนการนำเข้า 5.5% ภายใต้คาดการณ์ค่าเงินบาทสิ้นปีนี้ราว 30.50-31.50บาทตาอดอลลาร์”


ในส่วนของภาคส่งออก ยังมีความเสี่ยงอยู่พอสมควรในช่วงต่อไป เนื่องจากมุมมองของนักธุรกิจ ที่สำรวจมา เห็นว่าสถานการณ์แย่กว่าเดือนก่อนหน้า


ในส่วนของภาคท่องเที่ยวนั้น คงยังไม่เห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคงต้องพึ่งพิงนักนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก โดยช่วง 2-3 เดือนนี้ การเดินทางจะอยู่ลักษณะทรงตัว แต่จะพีกเฉพาะช่วงที่มีวันหยุดยาวมากกว่า และยังพบการกระจุกตัวในการท่องเที่ยวที่ใกล้กรุงเทพ


ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ไปแล้ว EIC คงมีมุมมองในระยะข้างหน้าว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลก มีการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หรือ U Shape ซึ่งนอกจากสัญญาณการฟื้นตัวที่ชะลอลงดังกล่าวแล้ว จะเห็นการปิดกิจการและอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศอาจทำให้เกิดแผลเป็น (scarring effects) ต่อเศรษฐกิจโลกและกลายเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวในระยะถัดไปได้ รวมถึงมาตรการการคลังที่มีส่วนประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมากำลังทยอยหมดอายุลงหรือได้รับการต่ออายุแต่ในขนาดที่เล็กลงในหลายประเทศ อาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าหน้าผาทางการคลัง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทาง EIC ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ปีนี้ -4% และปีหน้า เติบโต 4.3% แต่การฟื้นตัวในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน โดยจะมีเพียงประเทศจีน ที่เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวเป็นบวกได้ประเทศเดียว


“รายได้จากภาคท่องเที่ยวและส่งออกยังคงซบเซา ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนบางกลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบหนัก และเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวในระยะต่อไปได้ ปีหน้า ปัจจัยเสี่ยงต่างๆยังมีอยู่ เพราะหลายๆประเทศยังมีข้อจำกัดทางการคลัง ธนาคารกลางสหรัฐยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องถึงสิ้นปีหน้า ความไม่แน่นนอนการดำเนินนโยบายต้องติดตามอย่างใกล้ขิดโดยเฉพาะการเลือกตั้งในสหรัฐ “ดร.ยรรยงกล่าว


สำหรับการดำเนินนโยบายการเงิน EIC คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50 %จนถึงสิ้นปีนี้ ภายใต้ข้อจกัดดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับตาำในเวลานี้ EIC เชื่อว่าจะไม่เห็นการการฝช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ เช่นธนาคารกลางในประเทศใหญ่ๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นประโยชนืต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่ธปท.มีการใช้มาตรการเฉพาะจุด (Microprudential) แก้ปัญหาโดยตรงเฉพาะภาคส่วน อยู่แล้วในเวลานี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า หลังจากนี้จะเห็นการออกมาดูแลผ่าน เครื่องมือ Microprudential เพิ่มเติม หลังจากที่ผ่านมาได้ทำไปแล้ว ฟได้แก่ มาตรการพักชำระหนี้วงกว้างที่กำลังทยอยหมดอายุลง ซึ่งหลังจากนี้จะเห็นสถาบันการเงินเข้ามาดูแลลูกหนี้ที่มีปัญหาเป็นราวกรณี สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ( sofe loan) ให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงกองทุนดูแลสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้


สำหรับปัญหาหนี้เสีย หรือ NPL ในสถาบันการเงิน คาดว่าหลังจากมาตรการพักชำระหนี้หมดลง จะเห็น NPL เพิ่มขึ้น แต่ระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวม มีความสามารถในการรองรับปัญหาดังกล่าว เนื่องจากมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) สูง 19%


“แต่เวลาที่เห็น NPL สูงๆ ที่สะท้อนความสามารถชำระหนี้ลดลง สิ่งที่เกิดตามมาคือสถาบันการเงินจะระมัดระวังการปล่อยสินเขื่อมากขึ้น ดัฃนั้นจึงตำเป็นที่ภาครัฐจะต้องมาดูแลโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่สายป่านไม่ยาว ที่ผ่านมา ก็มีให้บสย.มาค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นให้ และน่าจะมีออกมาอีก ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยทำให้ไม่กระทบรุนแรงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ส่วนของหนี้ครัวเรือนไทย แม้ปัจจุบันมีสัดส่วนสูง 88-89%ของ GDP"


ดร.ยรรยงกล่าวถึง หนี้สาธารณะของรัฐบาลว่า ปัจจุบันยังถือว่าอยู่ระดับเข้มแข็ง แม้ภายในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 58% ของ GDP ซึ่งใกล้เพดานกรอบวินัยการคลังที่กำหนดไว้60%ของGDp แต่ถือเป็นหนี้ที่รัฐบาลสามารถจัดการได้ เนื่องจากไทยยังมีสภาพคล่องในระบบการเงินสูง สามารถออกพันธบัตรขาย นอกจากนี้ สามารถเก็บภาษีเพิ่มหลังเศรษฐกิจกลับมาในระยะข้างหน้า ดังนั้นจึงยังเขื่อมั่นฐานะการคลังของไทย


“สิ่งที่จะเรียกความเขื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติได้เวลานี้คือ รัฐบาลต้องวางกลยุทธทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในมาตรการที่จะดูแลเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามลำดับ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการต่างๆ EEC ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศไทย ต่อจากนี้คืออะไร การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เมกะโปรเจคที่จะทำให้ต่างชาติมั้นใจและกลับมาลงทุนในไทย”ดร.ยรรยงกล่าว

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave