ห้องเม่าปีกเหล็ก

เงินเฟ้อไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี กระทบหุ้นกลุ่มไหนบ้าง?

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
62 views
เงินเฟ้อไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี กระทบหุ้นกลุ่มไหนบ้าง?
 
 
 
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส (ASPS) เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า เงินเฟ้อพุ่งกระฉูด กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของหลายบริษัท ว่า อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค 65 ที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 13 ปี จากผลกระทบของต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้ถูกส่งผ่านไปสู่ราคาสินค้า นอกจากจะส่งผลลบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของหลายธุรกิจที่อาจไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ตามต้นทุนได้ทั้งหมด โดยฝ่ายวิจัยรวบรวมกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆที่น่าจะได้รับผลกระทบ ดังนี้
.
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง :
โครงสร้างต้นทุนการผลิตที่สำคัญคือต้นทุนพลังงาน อาทิ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มตามราคาน้ำมันดีเซล กระทบต่อผู้ผลิตปูนซีเมนต์ (SCC,SCCC,TPIPL) ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง (DCC,DRT,VNG) โดยผู้ผลิตแต่ละรายมีแนวทางบรรเทาผลกระทบคล้ายคลึงกัน ได้แก่การปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น การใช้พลังงานทดแทน และล็อกราคาวัตถุดิบไว้ล่วงหน้าบางส่วน เชื่อผลกระทบต่อประมาณการกำไรปีนี้ยังมีไม่มาก แต่หากสถานการณ์ยึดเยื้อจะมีผลต่อการปรับประมาณการกำไรปีหน้า
.
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง :
รับผลกระทบจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-50% ของต้นทุนก่อสร้างทั้งหมด โดยบริษัทรับเหมาที่รับงานภาครัฐจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากค่า K ซึ่งในสูตรคำนวณค่า K จะมีองค์ประกอบของดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างประเภทต่างๆและดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศอยู่ด้วย โดยภาครัฐจะจ่ายชดเชยเฉพาะส่วนที่เกิน 4% จากค่า K ฐานที่คำนวณ ณ วันเปิดซองประกวดราคา
.
กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย :
โครงสร้างต้นทุนงานก่อสร้างและแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 40-50% ของต้นทุนรวม แม้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานและวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น แต่
คาดผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการได้ ผ่านการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า, ปรับรูปแบบงานก่อสร้างและ Design เช่น ลด Facility / Function ที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งาน รวมถึงปรับขึ้นราคาขาย จึงเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำกำไรอย่างมีนัยฯ
.
กลุ่มเช่าซื้อ:
แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในกลุ่มเช่าซื้อบ้าง โดยกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก (THANI และ ASK) จะกระทบบ้าง แต่ลูกหนี้ของ THANI และASK ที่เป็นผู้ประกอบการรถบรรทุกรายกลางและรายใหญ่ (50% ของสินเชื่อรวม) มีสามารถในปรับเพิ่มค่าขนส่งจากลูกค้าได้ตามทิศทางราคาน้ำมัน ขณะที่กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียน (MTC SAWAD และ TIDLOR) และสินเชื่อบัตรเครดิตและบุคคล (AEONTS) ยังเห็นแรงหนุนจากแนวโน้มความต้องการใช้สินเชื่อเติบโต จึงประเมินว่ายังบริหารจัดการได้
.
กลุ่มเกษตร-อาหาร:
กลุ่มหมูและไก่จะกระทบจำกัด เพราะราคาหมูและไก่ปรับสูงขึ้นในงวด 2Q65 ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมิน TU จะกระทบมากสุด กดดันจากแนวโน้มราคาวัตถุดิบอาหารทะเล (ทูน่า) บรรจุภัณฑ์ (กระป๋องและซอง) ส่วนผสมของอาหาร (น้ำมันพืช) ที่ปรับสูงขึ้นในปี 65
.
กลุ่มปิโตรเลียม และถ่านหิน :
ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยรวม เพราะในกระบวนการผลิตและขนส่งจะมีต้นทุนเชื้อเพลิงเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ต้นทุนโดยรวมของกลุ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าวจะถูกชดเชยด้วยราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงถ่านหิน ที่ปรับตัวขึ้นมีนัยฯ และในอัตราที่มากกว่าการปรับขึ้นของต้นทุนทำให้สุทธิแล้วสำหรับกลุ่มปิโตรเลียมและถ่านหินน่าจะได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้น
.
กลุ่มปิโตรเคมี:
ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มปิโตรเคมีเนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงเป็นส่วนประกอบหลักในกระบวนการผลิตและขนส่ง ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นตามไม่ทัน เพราะถูกกดดันจากความต้องการใช้ที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้อัตรากำไรของกลุ่มปิโตรเคมีโดยภาพรวมปรับตัวลดลง
.
กลุ่มโรงไฟฟ้า :
สำหรับต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คาดจะส่งผลกระทบโดยตรงในเชิงลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งมีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง อย่าง BGRIM, GPSC,BPP ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน เป็นต้นทุนการผลิตหลักกว่า 50% จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อ margin กำไร สะท้อนได้จากผลประกอบการที่ย่ำแย่ในช่วง 1Q65 และคาดยังต่อเนื่องในช่วง 2Q65 แม้จะมีการปรับขึ้นค่า ft เพื่อชดเชยต้นทุนพลังงานได้บ้างก็ตามแต่คาดยังชดเชยไว้ได้ไม่หมด
.
กลุ่มยานยนต์ :
หลักๆ รับผลกระทบจากต้นทุนเหล็ก แต่เริ่มมีการทยอยเจรจาส่งผ่านราคาสินค้าไปยังค่ายรถยนต์ คาดทิศทางมาร์จิ้นเริ่มดีขึ้นช่วง 2H65 เลือกหุ้นที่สถานะการเงินเป็น Net Cash ภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง คาดประคองการจ่ายเงินปันผลใกล้เคียงปีก่อน อย่าง SAT(FV@B24) และ STANLY(FV@B241)
.
กลุ่มเครื่องดื่ม :
(OSP, SAPPE) ต้นทุนหลักๆ ที่ปรับขึ้น คือ ขวด อย่าง แก้วและพลาสติก แต่ละบริษัทมีการบริหารจัดการแตกต่างกัน อย่าง OSP ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ราคา 12 บาท ส่วน SAPPE ที่มีการบริหารต้นทุน Stock แทน เลือก OSP(FV@B37) จากการครองส่วนแบ่งการตลาดเบอร์ 1 ในไทย หากต้นทุนลดย่อมได้ประโยชน์จาก Economies of scale มากกว่า
.
กลุ่มร้านอาหาร :
M(FV@B60) รับผลกระทบจากต้นทุนวัตุดิบ อย่างหมู (สัดส่วน 20% ของต้นทุนผลิต) ที่ใช้การ Lock ราคารายเดือน (ส่วนเป็ด 20% ของต้นทุน Lock ต้นทุนทั้งปีแล้ว) รวมทั้งทิศทางราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้น ส่งผลต่อค่าขนส่ง (สัดส่วน 3% - 5%ของ CGS) อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการฟื้นตัวของรายได้ ล่าสุด พ.ค. ฟื้นตัวในระดับ85% ของ Pre-COVID เทียบกับ 77% ช่วง เม.ย. 65 และ 80% ในงวด 1Q65
.
กลุ่มธนาคาร :
ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ อาจถูกกดดัน แต่ประเมินอยู่ภายใต้การบริหารจัดการ ตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวให้กับลูกหนี้และการตั้งสำรองล่วงหน้า ก่อนหน้านี้ กอปรกับหาก กนง. เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและ ธ.พ. เริ่มขยับอัตราดอกเบี้ย M – Rate ตาม คาดหนุนกำไรก่อนสำรอง (PPOP) สูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการตั้งสำรอง (ECL) สูงขึ้น ภาพรวมข้างต้นบวกกับ ธ.พ. ใหญ่ อย่าง BBL(FV@B152), KBANK(FV@B174), KTB([email protected]) และ SCB(FV@B140)
 
 

โจ๊กเกอร์