ตลาดหุ้นสหรัฐรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก ดีดตัวกลับมาได้ระดับหนึ่ง หลังจาก Fed เริ่มมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐและมีการให้ความเห็นที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ถูกคาดการณ์ว่า Fed อาจจะปรับลดดอกเบี้่ยนั้น เริ่มขยับออกไปจากที่คาดไว้ในระยะแรก โดยฝ่ายวิเคราะห์ของสองสำนักใหญ่ในสหรัฐมองตรงกันว่า การปรับลดดอกเบี้ย "ยังไม่น่าจะเกิดภายในปีนี้"
จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่น่าจะต้องตกอกตกใจอะไร เพราะว่าการคาดว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในทันทีนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าเสียอีก
หาก Fed ตัดสินใจลดดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงนี้ ถ้ามองในมุมหนึ่งก็คือ การประเมินที่ผิดพลาดของ Fed เพราะเพิ่งจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาได้ไม่นาน แล้วก็จะปรับลดเสียแล้ว จะให้ตีความว่าอย่างไร?
ธนาคารกลางทั่วโลกก็คงจับตาดูความเคลื่อนไหวของ Fed อยู่เช่นเดียวกัน รวมไปถึงตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทุกอย่างจับจ้องอยู่ที่การตัดสินใจของ Fed ที่จะเกิดขึ้น
โดยสิ่งที่ Fed ทำได้ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ รอการประเมินสถานการณ์จากข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาเรื่อยๆ เพราะคงไม่มีอะไรที่ Fed จะสามารถทำได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นกรณีตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่งออกมา ปรากฎว่า ผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้านั้น เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งหาก Fed ได้เห็นตัวเลขในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ในสหรัฐ ก็อาจมีการเปลี่ยนมุมมองอีกได้เช่นเดียวกัน
เราต้องไม่ลืมว่า หลายๆเรื่องนั้น Fed ไม่สามารถควบคุมได้เลย เพราะ Fed มีอาวุธที่จะจัดการกับภาวะเศรษฐกิจได้ผ่าน "นโยบายการเงิน" เท่านั้น
แต่ Fed ไม่สามารถควบคุมนโยบายการคลัง และนโยบายทางการค้าที่ทางฝ่ายบริหารกุมอำนาจอยู่ได้เลย
Fed ไม่สามารถรู้ได้ว่า สหรัฐกับจีน จะสามารถบรรลุข้อตกลงใดๆได้หรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้ และตกลงว่า Trade war ที่ผ่านมานั้น มันได้กลายเป็น Tech war ไปแล้วจริงหรือไม่?
ซึ่งอย่างที่ผมเองเคยได้บอกไว้ตั้งแต่แรกว่า จุดประสงค์จริงๆของการเปิดศึกสงครามการค้าในครั้งนี้นั้น เป้าหมายหลักอาจไม่ใช่เรื่องการค้า เรื่องการขาดดุลทางการค้า แต่เป็นเรื่องของเทคโนโลยี 5G มากกว่า โดยการปรับขึ้นภาษีนี้ เป็นเพียงแค่เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการต่อรอง
หนทางข้างหน้าของภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก จึงไม่มีใครสามารถชี้ชัดได้ว่า ตกลงมันจะลงยาวๆ หรือว่ามันจะกลับขึ้นไปกันแน่ เพราะมีหลายเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดาทั้งนั้น
โดยสิ่งที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดก็คือ สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐนั้น ตกลงว่าจะมีการพูดคุยกันระหว่างทรัมป์ กับ สีจิ้นผิง ในการประชุม G20 ที่จะถึงนี้หรือไม่? ถ้ามี ผลการพูดคุยจะออกมาในทิศทางใด
ถ้าไม่ได้เรื่องอะไร ทรัมป์จะตัดสินใจขึ้นภาษีอะไรอีกหรือไม่ และจีนจะตอบโต้อีกเช่นไร
Fed เองก็คงรอผลของการพูดคุยกันครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะถ้าโทนของการพูดคุยออกมาเป็นแง่ลบ การลดดอกเบี้ยก็น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในอีกไม่นานนัก
แต่หากการพูดคุยเป็นไปในเชิงบวก การลดดอกเบี้ยอาจจะยังไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะ Fed คงต้องขอรอดูตัวเลขทางเศรษฐกิจต่อไปซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการต่างๆที่ได้ประกาศใช้ไปก่อนหน้า
แต่ที่แน่ๆ หากสงครามการค้าจบ โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ย ก็คงจะยาก
แต่หากสงครามการค้าไม่จบ และทวีความรุนแรงขึ้น โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยก็มีสูง
เห็นหรือไม่ว่า ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร มันจะมีด้านหนึ่งที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น แต่มันจะมีอีกด้านหนึ่งที่เป็นลบต่อตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้ จึงอยู่ในภาวะที่ความเสี่ยงสูงมากจากความไม่แน่นอนในต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนไทยเองไม่สามารถควบคุมได้เลย
ส่วนปัจจัยภายในที่รู้ๆกันก็คือ นักวิเคราะห์หั่นประมาณการรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงอย่างแรงเลย เพราะผลงานไตรมาส 1 ที่ไม่แจ่ม และอนาคตก็ดูว่าจะหนักหนาไปกว่าที่เป็นอยู่
เมื่อ EPS ของตลาดโดนหั่น เป้าหมายดัชนีที่เคยให้ไว้ ก็ต้องถูกปรับลงมาด้วยเช่นเดียวกัน
การเมืองผ่านไปแบบไม่มีเซอร์ไพรส์ เพราะว่ามันก็ต้องออกมาในรูปแบบนี้อยู่แล้ว แต่ปัญหาเรื่องความมีเสถียรภาพของรัฐบาลน่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนั้น นโยบายที่ถูกใช้ในการหาเสียงของพรรคการเมืองที่คนทำงานจ่ายภาษีต้องแทบจะปาดเหงื่อกันอยู่แล้วนั้น จะถูกนำมาทำให้เกิดเป็นรูปธรรมหรือไม่ และเมื่อไหร่
เช่น การจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆมากมายชนิดที่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จะทำให้ข้าวของแพงขึ้นมากขนาดไหน ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเท่าไหร่
อัตราค่าแรงขั้นต่ำที่สัญญาว่าจะขึ้นตอนหาเสียงเลือกตั้ง ถ้านำมาใช้จริงจะกระทบกับภาคธุรกิจมากขนาดไหน
เหล่านี้เราต้องติดตามกันต่อไป
สิ่งที่ยังคงเป็นความกังวลอย่างต่อเนื่องก็คือ ค่าเงินบาทที่แข็งแบบสุดๆหยุดไม่อยู่อีกครั้ง หลังมีความกลัวเกิดขึ้นในการลงทุน เงินจึงหนีเข้ามายังประเทศที่เหมือนว่าจะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีได้หากเกิดวิกฤต ซึ่งก็น่าภูมิใจนะ ที่ตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นหลุมหลบภัยของเม็ดเงินต่างชาติเสียแล้ว
แต่ที่แย่ก็คือ เมื่อเขาขนเงินเข้ามาหลบ เงินบาทจึงแข็ง ซึ่งการส่งออกย่อมได้รับผลกระทบ และตอนนี้หลายฝ่ายก็ออกมาปรับเป้าการส่งออกกันแล้ว
ส่วนขาช้อปต่างประเทศคงชอบ เพราะแลกเงินต่างประเทศได้ถูก มีที่ไหน เงินปอนด์เหลือแค่ 40 บาท แต่ก็อย่าช้อปกันจนเพลินนะ ตอนเดินเข้าด่านก็ทำตัวธรรมดา เซอๆหน่อยเข้าไว้ ศุลกากรจะได้ไม่เรียก
ต้องไม่ลืมว่า ประเทศกำลังต้องการรายได้ ศุลกากรที่สนามบินจึงเข้มงวดเป็นพิเศษกับการเรียกเก็บภาษีจากสินค้าแบรนด์เนมที่ทุกท่านหิ้วเข้าราชอาณาจักร
ถ้าตอนนี้ขออะไรได้หนึ่งอย่าง อยากขอเข้าไปท่องเที่ยวในห้วงความคิดของนาย โดนัล ทรัมป์ อยากศึกษากระบวนการคิดของเขาจริงๆ เพราะผมพูดได้เลยว่า ทรัมป์ "ไม่ได้โง่" cr Wattana Stock Page