10 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว ตั้งแต่วันสุดท้ายของปีพ.ศ.2558 ภายใต้ชื่อ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน / ASEAN Economic Community” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า AEC นั่นแหละ แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะดูไม่ออกหรือไม่ได้รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเพราะว่าจริงๆ แล้วประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนมีการเชื่อมโยงระหว่างกัน รวมทั้งการพัฒนาถนนหนทางทางรถไฟให้เชื่อมต่อกันนั้นก็มีมานานแล้ว
นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาตินอกอาเซียนเอง ก็เริ่มขยับเข้าในอาเซียนก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่การประกาศรวมกันเป็นหนึ่งนั้นเพื่อเป็นการตอกย้ำ และแสดงถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ให้สังคมโลกรับรู้
ประเทศไทยนั้นค่อนข้างได้เปรียบประเทศอื่นๆ ตรงที่ตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ใจกลางของประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน เรียกว่าจากประเทศไทยสามารถข้ามพรมแดนเพื่อไปยังอีก 4 ประเทศ (เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย) ได้สะดวกง่ายดาย รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ได้ในเวลาไม่นาน มีเพียงแค่ อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์เพราะเป็นเกาะห่างไกลออกไป ทำให้ประเทศไทยพยายามอาศัยความได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้งโดยพยายามเน้นการส่งออกไปที่ประเทศเพื่อนบ้านและจีนที่สามารถขนส่งสินค้าไปทางรถยนต์ได้
โดยเฉพาะในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาที่ตัวเลขการส่องออกไปอาเซียนนั้นเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผ่านทางการค้าชายแดน นอกจากนี้รัฐบาลพยายามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเป็นลำดับต้นๆ ของอาเซียนมานานแล้วก็ตาม
นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามานอกจากจะสนใจในการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ แล้วยังมีหลายรายที่สนใจในอุตสาหกรรมหรือว่าธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เพราะว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังสามารถขยายตัวได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กำลังซื้อของคนไทยยังคงมีอยู่แค่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจกับปัจจัยระยะสั้นบางอย่าง แต่ในระยะยาวยังคงมีความน่าสนใจอยู่ นอกจากนี้การที่ประเทศไทยมีค่าครองชีพที่ไม่สูง มีความพร้อมหลายๆ อย่างที่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตของชาวต่างชาติ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงเริ่มมีผู้ประกอบการไทยบางรายที่เริ่มจับมือกับนักลงทุนญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน มาเลเซีย และชาติอื่นๆ เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมทั้งในรูปแบบที่ต้องการพัฒนาร่วมกันในระยะยาวหรือเป็นรายโครงการ และคงมีการร่วมมือลักษณะนี้ตามมาอีกในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ผู้ประกอบการไทยต่างจับตามอง หลายรายพัฒนาตัวเองในทุกด้านเพื่อให้ก้าวตามผู้ประกอบการรายที่มีการร่วมมือกับต่างชาติ และเพื่อรับมือผู้ประกอบการชาวต่างชาติ
แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีของผู้บริโภคเพราะการแข่งขันยิ่งสูงยิ่งทำให้โครงการที่จะพัฒนาออกมาในอนาคตยิ่งดีขึ้น ใครที่ยังคงติดกับรูปแบบเดิมๆ หรือว่าไม่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคอาจกลายเป็นตัวเลือกลำดับรองลงไป ผู้บริโภคแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเพราะทุกรายพยายามนำเสนอตัวเองให้กับผู้บริโภคอยู่แล้วซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภค การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอาจจะไม่มีผลอะไรต่อคนไทยในภาพรวม แต่การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาตินั้นสร้างความน่าสนใจได้มากกว่าเยอะเลย จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาทั้งในรูปแบบของบุคคลที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมทีละห้องหรือมากกว่านั้นและในรูปแบบบริษัทนั้นมีไม่ใช่น้อย
ในมุมมองของคนไทยอาจจะมองตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพื่อการลงทุนแบบชาวต่างชาติ แต่ก็มีคนไทยบางส่วนเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของมันจะปรับเพิ่มขึ้นผลตอบแทนที่ได้นั้นมากกว่านำเงินฝากธนาคารไว้เฉยๆ แน่นอน อีกทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานๆ เป็นมรดกสืบทอดต่อไปแต่ก็ไม่ใช่ทุกทำเลหรืออสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาในการศึกษาหรือว่าหาข้อมูลสักระยะ
คอนโดมิเนียมที่ดีต่อการลงทุนนั้นหลักๆ ก็ควรพิจารณาโครงการที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า ราคาขายไม่ได้แพงกว่าโครงการในทำเลเดียวกันมากเกินไป และต้องเป็นทำเลที่สามารถอยู่อาศัยได้จริงๆ อสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ ก็เช่นกันทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ที่ต้องพิจารณาในเรื่องของทำเลเหมือนกับการเลือกคอนโดมิเนียมแต่สามารถเลือกในทำเลที่ไกลออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าได้แต่ก็ไม่ควรไกลเกินกว่า 3 กิโลเมตร
เพราะถ้าเกินกว่านั้นราคาขายอาจจะปรับขึ้นไม่มากนัก ที่ดินเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่น่าสนใจแต่การลงทุนในที่ดินนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการถือครองสักระยะอีกทั้งต้องเลือกซื้อที่ดินในทำเลที่ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องไม่ใช่ทำเลที่ตายแล้วรอบข้างยังมีโครงการพัฒนาของทั้งภาครัฐบาลและเอกชนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ดินบางแปลงในทำเลที่ดีๆ นั้นอาจให้ผลกำไรมากกว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ซะอีก
ปี พ.ศ.2560 ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจจะไม่ใช่ปีที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด แต่น่าจะเป็นปีที่มีการขยายตัวมากกว่าปี พ.ศ.2559 อย่างแน่นอน และถ้าโครงการพัฒนาของรัฐบาลต่างๆ ที่มีข่าวก่อนหน้านี้เดินหน้าเป็นรูปธรรม ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมอีกทั้งภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมดูดีกว่าปี พ.ศ.2559 อย่างแน่นอนซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น คนไทยบางส่วนที่มีปัญหาเรื่องรายจ่ายไม่เพียงพอเพราะติดเรื่องสินเชื่อรถยนต์จากโครงการรถคันแรกก็จะลดลงเพราะครบกำหนดการผ่อน 5 ปีแล้วกำลังซื้อส่วนหนึ่งน่าจะกลับมา แต่ก็ยังต้องระวังเรื่องหนี้ครัวเรือนอยู่ดี อีกทั้งการที่ธนาคารยังคงเข้มงวดในการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อเงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีพ.ศ.2560 ไม่ได้ขยายตัวมากมาย
ในภาวะที่เศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวแบบนี้ การเลือกซื้อโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนนั้น จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษซึ่งสิ่งที่นักลงทุนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่มีประสบการณ์หรือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาสักระยะมักจะมีรูปแบบการเลือกลงทุนที่คล้ายกัน โดยปัจจัยหลักที่พวกขาพิจาณาก่อนเป็นลำดับแรกๆ คือ ผู้ประกอบการโดยผู้ประกอบการในที่นี้หมายถึงบริษัทเจ้าของโครงการ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมนั่นเอง ซึ่งผู้ประกอบการที่น่าสนใจหรือว่าน่าลงทุนในโครงการของพวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทมหาชนที่เป็นรายใหญ่
รายกลางบางรายก็น่าสนใจเช่นกัน อย่าง บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ที่เกิดจากการต่อยอดมาจากบริษัท ฤทธา จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทยมีประสบการณ์หรือว่าความเชี่ยวชาญมายาวนานทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าโครงการต่างๆ ของบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัดจะมีมาตรฐานการก่อสร้างอยู่ในระดับสากล อีกทั้งบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ยังมีการพิจารณาเลือกทำเลในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์หรือว่าตอบสนองกับกำลังซื้อในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งรูปแบบโครงการที่สวยงาม ทันสมัย ไม่ตกยุคแม้ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม และด้วยความที่ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด มีความคิดที่ว่าต้องการสร้างโครงการของตนเองให้เป็น “Asset of Life” อีกทั้ง
บริษัทมีทีมงานการก่อสร้างที่มีความชำนาญของตนเองจึงทำให้โครงการของบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด มีราคาขายที่ไม่สูง เมื่อเทียบกับโครงการของผู้ประกอบการรายอื่นๆ อีกทั้งเมื่อเทียบกับองค์ประกอบอื่นๆ ในโครงการยิ่งทำให้โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด มีความคุ้มค่าสมกับคำกล่าวที่ว่า “Asset of Life” อย่างแท้จริง โดยในปี 2560 ไซมิส แอสเสท ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ๆ ในทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้า อาทิ ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ 42 ระยะทาง 200ม.จาก BTS เอกมัย ,ไซมิส สุขุมวิท 300ม. จาก BTS อ่อนนุช
รวมไปถึงบลอสซั่ม คอนโด แอท แฟชั่น บียอนด์ รามอินทรา และโครงการที่กำลังจะเปิดตัวอย่าง ไซมิส คิน รามอินทรา และไซมิส เอ็กซ์คลูซีพ ควีนส์ ทั้งหมดอยู่ใน ทำเลที่ดีใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวกสบาย เหมาะแก่การลงทุนและอยู่อาศัย ซึ่งโครงการที่กล่าวถึงทั้งหมดนั้น มีกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร: 02 6171555 หรือ www.siameseasset.co.th