รัฐบาลชั่วคราวกับบทบาทเศรษฐกิจที่ไม่ควรปล่อยผ่าน
การเมืองไทยในช่วงนี้เหมือนการเดินบนเชือกเส้นบาง รัฐบาลที่เกิดขึ้นจากเสียงโหวตไม่เต็มร้อย กลายเป็น “รัฐบาลชั่วคราว” ที่มีเวลาเพียง 4 เดือนในการแสดงบทบาท ก่อนจะนำไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น แต่ผมเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่แค่การประคองสถานการณ์ แต่ต้อง “เลือกทำในสิ่งที่ควรทำ” และ “หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง”

ประชานิยม: ยิ่งรีบ ยิ่งเสี่ยง
สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนี้ เพราะมันคือการใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่อผลลัพธ์ทางการเมืองที่ไม่ยั่งยืน พรรคที่เข้ามาบริหารย่อมรู้ดีว่าคะแนนนิยมของตัวเองไม่สูงนัก จึงอาจเลือกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนที่ไม่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ
ถ้ารัฐบาลเลือกใช้อำนาจเต็มในการออกนโยบายโดยไม่ผ่านสภา ก็อาจเกิดผลกระทบระยะยาวที่ประชาชนต้องรับผิดชอบในภายหลัง
ภาษีทรัมป์: ระเบิดเวลาที่ต้องเร่งแก้
อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจส่งผลต่อผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปลูกข้าวโพดและผู้เลี้ยงสุกร ที่อาจต้องเผชิญกับภาษี 19% จากสหรัฐฯ
แม้จะมีการเตรียมงบประมาณไว้บางส่วน แต่ผมคิดว่าไม่เพียงพอ รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เพื่อรองรับผลกระทบนี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ “ตั้งงบไว้” แต่ต้อง “ลงมือช่วยเหลือ” อย่างเป็นรูปธรรม
สินค้าสวมสิทธิ์: ปัญหาเงียบที่กำลังลุกลาม
การที่หลายประเทศ โดยเฉพาะจีน ถูกมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ทำให้เกิดการส่งออกสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) เข้ามายังไทยมากขึ้น หากรัฐบาลไม่แสดงความจริงจังในการควบคุมเรื่องนี้ ก็อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของสินค้าไทยในตลาดโลก
สิ่งที่ควรทำคือการตรวจสอบและยืนยันสัดส่วน Local Content ของสินค้าส่งออกอย่างโปร่งใส เพื่อให้สหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เชื่อมั่นในมาตรฐานของไทย
โอกาสจากการย้ายฐานการผลิต: อย่าปล่อยให้หลุดมือ
ในวิกฤตยังมีโอกาส การย้ายฐานการผลิตจากประเทศอื่นมายังไทยคือสัญญาณบวกที่รัฐบาลควรเร่งคว้าไว้ การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ผ่าน BOI ที่มีคำขอสูงมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือโอกาสทองในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแรงขึ้น
ถ้ารัฐบาลสามารถผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง จะไม่ใช่แค่การฟื้นเศรษฐกิจ แต่คือการวางรากฐานใหม่ให้ประเทศในระยะยาว
รัฐบาลชั่วคราวอาจมีเวลาน้อย แต่ก็มีโอกาสมาก ถ้าเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เพื่อรักษาเสถียรภาพ แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเห็นว่า “แม้จะชั่วคราว ก็ยังมีความหมาย”
