โลกเฮข่าวดี G20 ทรัมป์-สี กดปุ่ม “หยุด”สงครามการค้า เปิดช่องเจรจา
ข่าวดีมีจริง แม้จะชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็ทำให้บรรยากาศการลงทุนและตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกที่รอฟังผลการพบกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการพบปะนอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G20 เสาร์นี้ (29 มิ.ย.) ได้กลับมาคึกคักกันอีกครั้งหลังจากเฝ้าลุ้นระทึกในความอึมครึมมานานนับสัปดาห์
เป็นอีกครั้งที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาและจีนหารือกันนอกรอบเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง (สื่อจีนให้ตัวเลขชัดเจนกว่านั้นว่าการพบกันครั้งนี้ใช้เวลา 80 นาที) จากนั้นโลกก็ได้รับข่าวดีว่า ทั้งสองผู้นำตกลงใจที่จะระงับสงครามการค้า “เป็นการชั่วคราว” อีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้คณะเจรจาของทั้งสองฝ่ายเริ่มรื้อฟื้นการเจรจาคลี่คลายปัญหาการค้าที่มาถึงทางตันเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ด้านผู้นำจีน มีการออกแถลงการณ์โดยกระทรวงการต่างประเทศว่า จีนหวังว่าสหรัฐฯจะปฏิบัติต่อบริษัทเอกชนของจีนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม “40 ปีมานี้ สถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายมหาศาล รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่มีความจริงพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ จีนและสหรัฐฯต่างได้รับประโยชน์จากความร่วมมือ และในทางตรงข้าม ต่างก็สูญเสียจากการขัดแย้งและเผชิญหน้ากัน”
โฆเซ เอนเจิล เกอร์เรีย เลขาธิการใหญ่องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ให้ความเห็นผ่านซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐฯว่า ถ้าหากการพบปะหารือระหว่างทั้งสองผู้นำล้มเหลว ผลของมันจะมีอานุภาพทำลายล้างอย่างมาก นั่นหมายถึงทุกประเทศในโลกจะได้รับผลกระทบถ้วนหน้า เพราะทั้งสหรัฐฯและจีนมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจขนาดมหึมากับนานาประเทศทั่วโลก ดังนั้น ผลการพบปะในเชิงลบจะส่งผลกระทบในเชิงลบมากๆอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ด้าน นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แสดงความยินดีกับผลการหารือที่ออกมาในเชิงบวก ก่อนหน้านี้ ไอเอ็มเอฟเคยประมาณการณ์ว่า การตั้งกำแพงภาษีใส่กันระหว่างจีนและสหรัฐฯจะมีผลทำให้จีดีพีโลกหดตัวลงได้ถึง 0.5% ในปีหน้า (2563) “การกลับมาเข้าสู่กระบวนการเจรจากันได้อีกครั้งระหว่างจีนและสหรัฐฯนับเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้นและมีผลบังคับใช้แล้วนั้นกำลังฉุดรั้งทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และประเด็นปัญหาที่ยังตกลงกันไม่ได้ก็สร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตเป็นอย่างมาก”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก