TUทุ่มลงทุนปี64กว่า6พันล้าน
TUวางงบลงทุนปีหน้า กว่า 6พันล้านบาท สูงสุดในรอบ3 ปี เป็นการลงทุนธุรกิจใหม่ 2 พันล้านบาท ส่วนอีก 4.2-4.5 พันล้านลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมหาโอกาสลงทุนธุรกิจสตาร์อัพต่อเนื่องหลังลงทุนไปแล้ว 5 บริษัท มั่นใจปี 64 รายได้โต 5%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการลงทุนในธุรกิจอาหารต่อเนื่อง ตั้งงบลงทุนกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นวงเงินสูงสุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากบริษัทมีแผนลงทุนธุรกิจใหม่ คือการผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสต และ คอลลาเจนเปปไทด์ ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 25 ล้านดอลลาร์หรือ กว่า 700 ล้านบาท เพื่อรองรับตลาดอาหารสุขภาพ ซึ่งมีมาร์จินที่สูง และลงทุนธุรกิจอาหารสำเร็จรูปในประเทศไทย 1,000 ล้านบาท รวมมูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนในประเทศ ส่วนอีก 4.2-4.5 พันล้านบาท เป็นงบลงทุนปกติของบริษัทที่จะใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในธุรกิจเดิม
"'งบลงทุนปีหน้าที่กว่า 6 พันล้านบาทถือว่าเป็นวงเงินที่สูงสุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปี2563 เดิมเคยตั้งไว้4.9พันล้านบาท แต่ในปีนี้ได้ปรับลดงบลงทุนมาเหลือ 3.7พันล้านบาทเพื่อบริหารสภาพคล่อง ต้นทุน กระแสเงินสด ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพราะโควิด-19ระบาด
รวมถึงบริษัทยังมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะการร่วมลงทุน (joint venture) กับพันธมิตรต่างๆ เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีความชำนาญ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังตั้งงบ 30 ล้านดอลลาร์ที่ใช้ลงทุน Startup เน้นธุรกิจโปรตีนทางเลือก อาหารฟังก์ชั่นและมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ในช่วง 3-5 ปี โดยบริษัทจะเข้าถือหุ้นแต่ละรายไม่เกิน 10% หรือไม่เกิน 3 ล้านดอลลาร์ เพราะเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงสูง มีโอกาสล้มเหลวสูง บริษัทเฟ้นหาบริษัทที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือมี Business Model ที่ใหม่ ซึ่งเริ่มลงทุนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในบริษัท Startup ไปแล้ว 5 ล้านดอลลาร์ จำนวน 5 บริษัท คือ บริษัท อัลเคมี ฟู้ดเทคที่ทำธุรกิจนวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานจากสิงคโปร์, บริษัท ไฮโดรนีโอ บริษัทเทคโนโลยีการบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ อยู่ในไทย , บริษัท มันนา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัทโปรตีนจากแมลงและอีคอมเมิร์ซจากสหรัฐอเมริกา, บริษัทจากเยอรมัน และ อิสราเอล และคาดว่าในไม่กี่เดือนข้างหน้าจะลงทุนเพิ่มอีก 5 ล้านดอลลาร์ จำนวน 2-3 บริษัท
“ ในช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนทั้งในธุรกิจหลักและธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง อาทิ ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร หรือ ingredients และเทคโนโลยีนวัตกรรมอาหาร ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอีกด้วย รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดเทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น และทำอาหารทานที่บ้าน มีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และอาหารที่เก็บได้ยาวนาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากผู้คนทั่วโลกใช้เวลาอยู่กับบ้านและครอบครัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังหันมาสนใจสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัขและแมวด้วย ทำให้เรายังเติบโตดีต่อเนื่องในปีนี้”
ทั้งนี้บริษัทคาดรายได้ปี 2564 เติบโต 5% และคาดอัตรากำไรขั้นต้น(Gross profit margin) ปีหน้าคาดมากกว่า 17% เนื่องจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และหันมาให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นและมีการทำอาหารทานเองมากขึ้น และ บริษัทเดินหน้าการลดค่าใช้จ่าย ลดหนี้ ลดต้นทุน และ ตัดขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไร หรือ สร้างรายได้ให้กับบริษัทออกไป ส่วนรายได้ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% จากปี 2562 ที่มีรายได้ 129,186.11 ล้านบาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก