ห้องเม่าปีกเหล็ก

สามล้อถูกหวย ความลับในความรวยของลิเวอร์พูล

โดย พญาหงส์
เผยแพร่ :
57 views

สามล้อถูกหวย ความลับในความรวยของลิเวอร์พูล คือการลงทุน

By เมธา พันธุ์วราทร

 

Key points

  • การบริหารตามหลัก “Moneyball” ที่มีการนำข้อมูลในแบบ Big data มาใช้ในการวิเคราะห์ทุกส่วนของสโมสร ทำให้การตัดสินใจลงทุนกับทรัพยากรที่สำคัญที่สุดอย่างนักฟุตบอล เป็นไปอย่างแม่นยำ นักเตะส่วนน้อยเท่านั้นที่ถือเป็นการลงทุนที่ผิดพลาด
  • ลิเวอร์พูลไม่ได้คิดแค่การซื้อหรือขายผู้เล่นเท่านั้น เพราะสโมสรมองถึงการบริหารกิจการให้ยั่งยืนด้วยตัวเอง (Self-Sustainability) ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดสินใจลงทุนครั้งสำคัญกับสนามแข่งและศูนย์ฝึก
  • ความสำเร็จในสนามได้ให้ผลตอบแทนกลับมาทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่สโมสร ไม่ว่าจะเป็นเงินรางวัล ค่าลิขสิทธิ์ ไปจนถึงรายได้จากสปอนเซอร์มากมายมหาศาล
  • บิลลี โฮแกน ซีอีโอของสโมสรที่ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในระหว่างการเดินทางมาทัวร์เอเชียที่ฮ่องกง โดยยืนยันว่า “ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งพวกเขาก็พร้อมที่จะทำตัวในแบบสโมสรใหญ่แล้ว”

 

 

“ทำไมป๊าเพิ่งบอกว่าจริงๆแล้วบ้านเราเป็นเศรษฐี”

          คำพูดทำนองแบบนี้มาจากแฟน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลทั่วโลกที่ต่างทึ่งจนถึงต้องขยี้ตากับการทุ่มเงินงบประมาณมหาศาลในการปรับทัพเสริมทีมช่วงที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดคือรายของ อูโก เอคิติเก ศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศสที่ย้ายมาจากไอทรัคต์ แฟรงค์เฟิร์ต ด้วยสนนค่าตัวถึง 79 ล้านปอนด์ (3,400 ล้านบาท) ที่ทำให้ยอดการใช้จ่ายทะลุไปเกือบ 300 ล้านปอนด์ (13,000 ล้านบาท)

          โดยที่ทีมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพราะยังมีข่าวพัวพันกับนักฟุตบอลรายอื่นอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งรวมถึงรายของอเล็กซานเดอร์ อิซัค กองหน้าจากทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดที่อาจจะต้องจ่ายเงินถึง 150 ล้านปอนด์ (6,500 ล้านบาท) เพื่อให้ได้ตัวมาร่วมทีม

ท่าทีที่แปลกไปของลิเวอร์พูลในช่วงปิดฤดูกาลนี้ทำเอาคนในโลกกีฬาต่างประหลาดใจ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาเป็นหนึ่งในสโมสรที่ใช้วิธีบริหารจัดการทีมอย่างประหยัด การลงทุนทุกครั้งคาดหวังถึงผลตอบแทนที่คุ้มค่า จนทำให้หลายครั้งทีมไม่มีความเคลื่อนไหวเลย สร้างความเดือดดาลในใจของแฟนฟุตบอลเป็นอย่างยิ่ง

          แต่วันนี้แฟนบอลที่เคยชูป้ายขับไล่ “FSG OUT” ที่สื่อถึงเจ้าของสโมสรกลุ่มทุน Fenway Sports Group (FSG) กลับต้องยอมขอโทษ

          “Sorry FSG OUT…Standing” หรือ “ขอโทษนะ FSG สุดยอดไปเลย! เกิดอะไรขึ้นกับลิเวอร์พูลกันแน่?

ช็อปแบบไร้สติ?

          โดยสรุปจนถึงปัจจุบันลิเวอร์พูลเสริมทัพด้วยผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งสิ้น 6 รายด้วยกัน

          1. ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ (100 ล้านปอนด์ + 16.5 ล้านปอนด์ตามเงื่อนไข)

          2. เจเรมี ฟริมปง (29.5 ล้านปอนด์)

          3. มิลอซ เคอร์เคซ (40 ล้านปอนด์)

          4. จอร์จี มามาร์ดาชวิลี (29 ล้านปอนด์ - ตกลงตั้งแต่ปีที่แล้วแต่เพิ่งจะย้ายมาร่วมทีม)

          5. อาร์มิน เพกซี (1.5 ล้านปอนด์)

          6. อูโก เอคิติเก (79 ล้านปอนด์)

          โดยรวมแล้วใกล้เคียงหลัก 300 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับลิเวอร์พูล สโมสรที่มีภาพจำในการใช้จ่ายอย่างจำกัดจำเขี่ย เหมือนในปีที่แล้วที่ซื้อเฟเดริโก คิเอซา มาเสริมทัพคนเดียวด้วยค่าตัวแค่ 10 ล้านปอนด์

          ทีมยังมีข่าวกับ มาร์ค เกฮี ปราการหลังจากคริสตัล พาเลซ และอเล็กซานเดอร์ อิซัค รวมถึงโรดริโก จากนิวคาสเซิลและเรอัล มาดริดด้วย

          อย่างไรก็ดีหากมองในรายละเอียดลิเวอร์พูลไม่ได้ซื้อแบบขาดสติอะไร

          ในทางตรงกันข้ามการลงทุนทุกอย่างผ่านการวางแผนในระดับกลยุทธ์มาเป็นอย่างดี นักเตะแต่ละคนถูกกำหนดมาแล้วในการเป็นตัวตายตัวแทนของใครสักคนในทีม ซึ่งแม้ว่าทีมจะเพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมา แต่ก็ถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่จะต้องมีการถ่ายเลือดในทีมพอดี หลังจากที่โค้ชอย่างอาร์เนอ สลอต รับช่วงทีมต่อจากเยอร์เกน คล็อปป์และให้โอกาสทุกคนได้พิสูจน์ตัวเองตลอด 1 ปีที่ผ่านมา

แต่มันก็ยังมีคนอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าลิเวอร์พูลไปเอาเงินมาจากไหน?

ความลับของความรวย

          ความจริงแล้วความรวยของลิเวอร์พูลต้องย้อนกลับไปถึงเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการขายฟิลิปเป คูตินโญ เพลย์เมคเกอร์อัจฉริยะชาวบราซิลให้กับบาร์เซโลนาในช่วงฤดูร้อนปี 2018 ที่ได้เงินมากถึง 145 ล้านปอนด์

          ลิเวอร์พูลได้เอาเงินก้อนนั้นไปทำการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีซึ่งวันนี้บวกมากมายมหาศาล ทำให้เจียดเอาเงินส่วนหนึ่งมาใช้สำหรับการซื้อผู้เล่นเสริมทีม

          ข้างบนนั้นอำกันนะอย่าเพิ่งเชื่อ!

          เพราะในความเป็นจริงแล้วลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีการบริหารจัดการทีมได้ดีที่สุดมาโดยตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

 

การบริหารตามหลัก “Moneyball” ที่มีการนำข้อมูลในแบบ Big data มาใช้ในการวิเคราะห์ทุกส่วนของสโมสร ทำให้การตัดสินใจลงทุนกับทรัพยากรที่สำคัญที่สุดอย่างนักฟุตบอล เป็นไปอย่างแม่นยำ นักเตะส่วนน้อยเท่านั้นที่ถือเป็นการลงทุนที่ผิดพลาด

          ลิเวอร์พูลยังใช้วิธีการเลือกผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์อยู่แล้วเพราะนอกจากค่าตัวในการย้ายทีมจะสูง ค่าเหนือยก็จะสูงตาม ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ของสโมสรได้ (สโมสรที่เดินในแนวทางนี้แล้วผิดพลาดมหันต์คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

          พวกเขาใช้วิธีการซื้อผู้เล่นที่มีศักยภาพสูงและมีโอกาสจะก้าวเป็นสตาร์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งนอกจากค่าตัวจะต่ำกว่าแล้ว ค่าเหนื่อยที่เป็นภาระผูกพันก็จะไม่สูงมากด้วย แต่จะใช้วิธีการให้เงินโบนัส (Incentive) เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำผลงานในสนามให้ได้ดี

          นอกจากนี้หากจำเป็นที่จะต้องขายผู้เล่นออกจากทีม ไม่ว่าจะเป็นนักเตะในระดับสตาร์หรือแม้แต่ในกลุ่มดาวรุ่งเองก็สามารถทำรายได้กลับมาให้กับทีมได้อย่างมหาศาล

          ในช่วงที่ผ่านมาลิเวอร์พูลปล่อยเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ควีวิน เคลเลเฮอร์ และจาเรลล์ ควานซาห์ สามผู้เล่นที่มาจากระบบอคาเดมีของสโมสรออกไปได้เงินกลับมาถึง 60.5 ล้านปอนด์โดยประมาณ

          โดยที่ยังมีโอกาสจะทำเงินรายได้จากการผ่องถ่ายผู้เล่นรายอื่นอีก เช่น หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเยซ, เฟเดริโก คิเอซา, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่หากขายหมดนี้อาจะได้เงินกลับมาอีกมากถึง 150-200 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

          และอย่าลืมว่าหลายปีที่ผ่านมาลิเวอร์พูลลงทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับสโมสรยักษ์ใหญ่ทีมอื่น เช่น เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือแม้แต่อาร์เซนอลเองก็ตาม

2 เสาหลักค้ำสโมสร

          อย่างไรก็ดีลิเวอร์พูลไม่ได้คิดแค่การซื้อหรือขายผู้เล่นเท่านั้น เพราะสโมสรมองถึงการบริหารกิจการให้ยั่งยืนด้วยตัวเอง (Self-Sustainability) ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดสินใจลงทุนครั้งสำคัญ

          1. การลงทุนปรับปรุงสนามแอนฟิลด์ เพิ่มความจุจาก 44,000 ที่นั่งสู่ 61,000 ที่นั่ง

          2. การลงทุนกับศูนย์ฝึกซ้อมใหม่ที่ทันสมัยที่ย่านเคิร์กบี

          โดยในข้อแรกนั้นถือเป็นการปลดล็อกสโมสรครั้งใหญ่ หลังจากที่เป็นบ่วงพันธนาการลิเวอร์พูลไม่ให้เติบโตและแข่งขันกับสโมสรระดับชั้นนำทีมอื่นได้ เนื่องจากสนามแอนฟิลด์ของพวกเขาถึงจะเก่าแก่และเปี่ยมมนต์ขลังแค่ไหน ก็เป็นสนามขนาดเล็กไปแล้วเมื่อเทียบกับทีมอื่น

          การปรับปรุงสนามใหม่ เพิ่มความจุ และมีการเพิ่มที่นั่งในระดับธุรกิจ (VIP Box, Hospitality) เป็นช่องทางในการสร้างรายได้ก้อนโตให้กับสโมสร ทำให้ในแต่ละวันแข่งขัน (Matchday) ลิเวอร์พูลสามารถทำเงินรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมมากมายมหาศาล

          โดยที่ในฤดูกาล 2024-25 ที่เพิ่งจบลงไปและพวกเขาได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกนั้น เป็นฤดูกาลแรกที่ลิเวอร์พูลทำเงินรายได้เต็มๆจากความจุสนามขนาดใหม่ 61,000 ที่นั่งด้วย ซึ่งมีการประเมินว่าจะทำเงินรายได้เกิน 100 ล้านปอนด์

          ขณะที่ศูนย์ฝึกซ้อมใหม่ นอกจากจะขายลิขสิทธิ์ชื่อ (Naming rights) ให้กับ AXA ได้เงินก้อนใหญ่กลับมาจากเดิมในปี 2019 ที่ได้ปีละ 5 ล้านปอนด์ ในปี 2024 ได้มีการต่อสัญญาใหม่อีก 5 ปีได้เงินกลับมามากกว่า 20 ล้านปอนด์

          เงินจำนวนนี้ถูกนำกลับมาลงทุนสร้างศูนย์ฝึกที่ทันสมัย ช่วยให้นักฟุตบอลพัฒนาการเล่นได้ อีกทั้งยังถูกนำไปแปรเป็นเงินลงทุนกับผู้เล่นดาวรุ่งฝีเท้าดีจากทั่วโลกที่ถูกนำมาขัดเกลาที่ศูนย์ฝึก AXA ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่านักเตะดาวรุ่งเหล่านี้หากไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมได้ ก็ยังสามารถปล่อยตัวเพื่อหาเงินกลับมาได้ด้วย

          การลงทุนสองสิ่งนี้คือการปัก “เสาหลัก” ของสโมสรเอาไว้ให้ยืนหยัดได้ในระยะยาว

ความสำเร็จในสนาม = รายได้มหาศาล

          ถึงแม้ว่าจะมีหลายสโมสรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของการทำธุรกิจนอกสนาม โดยเฉพาะเรื่องของการหาสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในช่องทางการทำรายได้หลักของสโมสรหลายๆแห่ง

          แต่สำหรับลิเวอร์พูล สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปดีคือความสำเร็จในสนาม

          นับจากปี 2015 เป็นต้นมา ลิเวอร์พูลได้ยกระดับตัวเองกลับมาเป็นหนึ่งในสโมสรระดับชั้นนำไม่ใช่เฉพาะแค่ของอังกฤษ แต่เป็นสโมสรชั้นนำของโลก ทีมประสบความสำเร็จมากมายอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย (2020,2025), แชมป์ยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย (2019) และแชมป์รายการอื่นๆอีกมากมายแบบ “ครบเซ็ต”

          ความสำเร็จเหล่านี้ได้ผลตอบแทนกลับมาทั้งทางตรงและทางอ้อม

          ในทางตรงคือเงินรางวัล เงินส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของรายได้ที่สโมสรพึงได้รับ โดยในฤดูกาล 2024-25 ที่ผ่านมาเชื่อว่าลิเวอร์พูลทำเงินรายได้จากพรีเมียร์ลีกมากถึง 174.9 ล้านปอนด์ สูงที่สุดในบรรดาสโมสรพรีเมียร์ลีกด้วยกัน (เพราะเป็นแชมป์ด้วย)

          นอกจากนี้ยังมีแชมเปียนส์ ลีกที่ทำเงินรางวัลได้ถึง 82 ล้านปอนด์จากการผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย​

          ลิเวอร์พูลยังบรรลุข้อตกลงสปอนเซอร์ชุดแข่งรายใหม่ โดยเปลี่ยนจาก Nike มาเป็น adidas ที่คาดว่าจะทำเงินได้มากกว่า 60 ล้านปอนด์ต่อปี โดยที่ยังมีสปอนเซอร์รายอื่นๆที่หากรวมกันแล้วคาดว่าจะทำเงินในฤดูกาล 2024-25 ได้มากถึง 336.4 ล้านปอนด์

          โดยภาพรวมแล้วคาดว่าลิเวอร์พูลจะทำรายได้ในฤดูกาลที่ผ่านมาทะลุ 700 ล้านปอนด์ต่อปีได้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ต่างอะไรจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย

          และในฤดูกาลหน้าพรีเมียร์ลีกจะเข้าสู่รอบการประมูลใหม่ ซึ่งหมายถึงเงินส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นด้วย

วงจรประเสริฐ (Virtuous Circle)

          แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนแปลงเป็นสโมสรที่ลงทุนหนักมากขึ้นคือคนที่กุมกระเป๋าเงินไว้อย่าง FSG อยู่ดี

          ปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีนับจากที่กลุ่มทุนจากบอสตัน ซึ่งเป็นเจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรด ซ็อกซ์ เปลี่ยนแปลงจุดยืนของลิเวอร์พูลใหม่ ให้กลายเป็นสโมสรที่พร้อมจะลงทุนในแบบที่สโมสรฟุตบอลในระดับยักษ์ใหญ่ทำกัน

          เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก บิลลี โฮแกน ซีอีโอของสโมสรที่ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในระหว่างการเดินทางมาทัวร์เอเชียที่ฮ่องกง โดยยืนยันว่า “ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งพวกเขาก็พร้อมที่จะทำตัวในแบบนั้น”

          แต่ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าลิเวอร์พูลจะละทิ้งแนวทางเดิม เพราะสิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลสามารถจ่ายเงินได้มากมายมหาศาลจนตกใจกันทั้งโลกฟุตบอลได้มาจากแนวทางที่เรียกว่า “Virtuous circle” หรือ “วงจรประเสริฐ”

          วงจรประเสริฐคือห่วงโซ่ของเหตุการณ์ที่ส่งเสริมเกื้อหนุนกัน ซึ่งก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการทีมตามหลัก Moneyball, การลงทุนกับสนามฟุตบอล ศูนย์ฝึก, การลงทุนกับผู้เล่นเยาวชน ที่สุดท้ายนำมาสู่ความสำเร็จในสนาม แบรนดิ้งที่สวยงาม และสุดท้ายคือเงินที่กลับเข้าสู่สโมสร

          “มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉยๆ แต่มันเป็นผลของสิ่งที่ทำกันมาหลายปี” โฮแกน ให้สัมภาษณ์กับ The Athletic “หนึ่งในสิ่งที่เราให้ความสำคัญเสมอคือเรื่องของวงจรประเสริฐ โดยการพยายามบริหารในทางที่ถูกต้องเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถทำรายได้ได้มากเท่าที่เราจะสามารถทำได้ ซึ่งสิงเหล่านี้จะกลับมาช่วยทีมได้ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในมุมมองของเรา”

          โฮแกนบอกว่าความสำเร็จของสโมสรมาจากทั้งการทำงานของฝั่งฟุตบอล (Football side) และฝั่งธุรกิจ (Business side) ที่ทำงานร่วมกันในทุกวันเพื่อให้ไปถึงจุดที่ต้องการ

          “การมีสตาร์ชื่อดังย้ายมาเล่นกับเราที่แอนฟิลด์ ทำให้คนมาชมกันเต็มความจุสนามในฮ่องกงและญี่ปุน เป็นสิ่งที่เราคาดหวังและอยากจะทำมาตลอด เรามีฐานแฟนฟุตบอลทั่วโลกที่อยากเห็นทีมประสบความสำเร็จ และเราพยายามอยางหนักที่จะคว้าแชมป์ให้ได้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก”

          โดยที่ในอีกด้านแล้ว FSG ที่เคยมีความคิดจะขายหุ้นของลิเวอร์พูลออกไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน เปลี่ยนมุมมองของพวกเขาใหม่ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

          ลิเวอร์พูลในเวลานี้คือทรัพย์สินการลงทุนที่ดีและมีค่ามากที่สุดของพวกเขา เหนือยิ่งกว่าทีมกีฬาอีกหลายทีมที่อยู่ในสังกัด และสิ่งที่ FSG ควรจะทำคือการทำให้ลิเวอร์พูลเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในทุกด้านอย่างถูกต้องเพื่อที่จะยืนหยัดได้อย่างสง่างาม

         วันนี้จึงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่เท่านั้น ยังมีอะไรอีกมากที่จะตามมา

         

อ้างอิง

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1191212

 


พญาหงส์