ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเมษายนอยู่ที่ประมาณ 1,560 จุด ท่ามกลางเสียงบ่นกันขรมว่า “ลงทุนไม่ได้ เพราะแพงเกินไปแล้ว”
แต่ มยุรี โชวิกรานต์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ “มือเก๋า” ที่เห็นดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นลงมาเป็นเวลานาน เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าดัชนีจะพุ่งขึ้นหรือลงไปเท่าไหร่ โอกาสการลงทุนมีอยู่เสมอ เพียงแต่ต้องใส่ใจเรื่องการลงทุนให้มากขึ้น และ “ทำการบ้าน” ให้หนักขึ้น แต่ก่อนที่จะลงทุน สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาคือ กรอบระยะเวลาการลงทุนของตนว่า ตนพร้อมจะเป็นนักลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว
“อย่าเป็นไม้ที่เอนไปด้านใดก็ได้ เพราะมันจะทำให้ พอร์ตของคุณวนอยู่ในอ่าง”
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นที่ 1,560 จุด โดยมี PE เฉลี่ยอยู่ที่กว่า 15 เท่า ที่หลายคนบอกว่า “ลงทุนไม่ได้” แต่มยุรียืนยันว่า ยังมีหุ้นปันผลระดับ 6-7% ในราคา PE ระดับ 7-8 เท่า อยู่ในตลาดและก็ยังมีหุ้นที่มั่นคง ธุรกิจโตได้ใน 5 ปี 10 ปี แต่อาจจะเติบโตช้าบ้าง แต่ราคาแพง รวมถึงยังมีหุ้นที่สามารถเก็งกำไรในระยะในรอบสั้นๆ ได้เช่นกัน ฉะนั้น ในความเป็นจริงของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันคือ ไม่ใช่ลงทุนไม่ได้ แต่หุ้นที่ลงทุนได้เหล่านี้ ตัวไหนที่ตอบโจทย์ของนักลงทุนต่างหาก
“ณ เวลานี้ ตลาดหุ้นไทยเหมาะกับการลงทุนของทั้งแนววีไอและเก็งกำไร โอกาสมันมีเสมอ ไม่ว่าตลาดจะบวกหรือลบกี่จุด เพราะมันมีคนซื้อและคนขายอยู่ตลอดเวลา มันอยู่ที่วิธีการลงทุนของคุณ แต่อย่าบอกว่าลงทุนอะไรก็ได้ขอแค่ให้ได้กำไร เพราะคำตอบ ของการลงทุนแบบนี้ ไม่มี”
มยุรี ทิ้งท้ายด้วยหุ้นที่เธอเชื่อว่าน่าจะตอบโจทย์นักลงทุนแนววีไอ ซึ่งหุ้นปันผลบริษัทมั่นคง ธุรกิจน่าจะโตต่อไปได้ 3-5 ปีแน่นอน และ PE ไม่ถึง 10 เท่า โดยราคาหุ้นลดลงมามากเนื่องจากแรงเทขายเพราะตกใจ (Panic) จากการปรับโครงสร้างบริษัทและปรับทีมผู้บริหารเมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ
“พฤกษา โฮลดิ้ง (PS)” นอกจากนี้ยังมีหุ้นกลุ่มแบงก์ที่เข้าเกณฑ์ PE ต่ำ และเห็นเทรนด์ การเติบโตใน 3-5 ปีข้างหน้า รวมถึงอาจมี Panic จากตัวเลขหนี้เสีย ซึ่งน่าจะถือเป็นจังหวะเข้าในการเข้าซื้อ ขณะที่หุ้นกลุ่มเก็งกำไร เธอแนะนำหุ้นกลุ่ม Commodity เพราะเทรนด์มาในปีนี้ โดยให้ใช้กราฟเทคนิคช่วยวิเคราะห์จังหวะลงทุน
“ไม่ว่าจะยึดหลักการลงทุนระยะสั้น กลาง หรือยาว มันมีหุ้นให้เลือกลงทุนได้เสมอ เพียงแต่หลักยึดของคุณต้องไม่เปลี่ยน อย่าเป็นไม้ที่เอนไปด้านใดก็ได้ตลอดเวลา มันจะทำให้พอร์ตคุณวนในอ่าง ไม่เติบโต”
“คนที่ประสบความสำเร็จ ในตลาดหุ้นมีคนเดียว คือคนที่มีวิธีคิดชัดเจน”
ณัฐวัฒน์ อ้นรัตน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้หลักคิดง่ายๆ ในการจำแนกนักลงทุน และนักเก็งกำไรว่า “การเก็งกำไร คือการซื้อแพงแต่ขายแพงกว่า ส่วนการลงทุน (วีไอ) คือซื้อถูกแต่ขายแพง” โดยสิ่งสำคัญที่ทำให้นักเก็งกำไรไม่สามารถกลายเป็นนักลงทุนวีไอได้คือ ไม่สามารถ อดทนรอผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวได้
อย่างไรก็ดี ณัฐวัฒน์ให้เคล็ดลับในการลงทุนแบบง่ายๆ แต่ได้กำไรสูง คือการซื้อหุ้นขนาดใหญ่ และขนาดกลางตอนที่ตลาดหุ้นมีแรงตกใจ (Panic) ยิ่งเป็น Panic ที่เกิดปัญหามากที่สุดก็ยิ่งทำให้นักลงทุนได้กำไรสูงสุด ซึ่งมักจะเป็น Panic ที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจในประเทศไทยเอง ส่วน Panic ที่เกิดจากนอกประเทศ เขาแนะนำให้ใช้กราฟเทคนิควิเคราะห์ย้อนหลังไป 2 ปี (วัดจากจุดต่ำสุดแล้วดูว่าดัชนีลงมาต่ำกว่าจุดนั้นเท่าไหร่) เพื่อดูว่าดัชนีตลาดหุ้นที่ลดลงนั้นเป็น Panic หรือแค่การปรับฐาน ซึ่งถ้าในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นต่ำลงมาไม่เกินกว่า 30% ถือเป็นแค่การปรับฐาน
“ปัญหาคือช่วงไม่มี Panic จะทำอะไร.. ก็ไม่ต้องเล่น เพราะถ้าโจทย์เราคือ ลงทุนเพื่อต้องการผลตอบแทน 20% วิธีซื้อตอน Panic แค่ครั้งเดียวก็ได้แล้ว ฉะนั้นจะไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนทำไม รอให้ถึงจังหวะค่อยเล่น”
แต่ปัญหาคือถ้าไม่มี Panic เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ ณัฐวัฒน์จึงแนะนำอีก 2 วิธี ได้แก่ ลงทุนในหุ้นปันผล โดยทันทีที่มีข่าวไม่ดีกระทบต่อราคาหุ้นปันผลตัวนั้น ให้รีบเข้าไปซื้อ และสุดท้ายคือ วิธีเก็งกำไรเฉพาะหุ้นขาขึ้น โดยให้ใช้เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันเป็นเส้นแบ่งระหว่างขาขึ้นกับขาลง โดยให้เก็งกำไรเฉพาะหุ้นที่อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยแล้วยืนมาได้ 1 เดือน แต่ถ้าหากหุ้นตัวนั้นยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยมานาน 3-4 เดือน อาจต้องระวังการปรับฐาน ซึ่งอาจเป็นการพักเพื่อขึ้นหรือเพื่อปรับลงก็ได้
ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เคลื่อนไหว (Sideway) เขาแนะนำว่าสามารถลงทุนได้ 2 แบบ แบบที่ 1 คือลงทุนหุ้นที่มีแนวโน้มจะขึ้นหรือหุ้นขาขึ้น โดยเมื่อไหร่ที่หุ้นถอยไปอยู่ใกล้ๆ เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ก็ให้เริ่มซื้อได้แล้ว และแบบที่ 2 คือลงทุนในหุ้นที่โดนทุบหรือหุ้นขาลง โดยให้ซื้อในวันที่ 2 หรือวันที่ 3 หลังการโดนทุบ แต่สุดท้าย..
“แม้ว่าตลาดหุ้นจะไม่ไปไหน แต่ไม่ใช่ว่าตัวหุ้นก็จะไม่ไปไหนด้วย มันยังมีหุ้นให้ลงทุน เพียงแต่คุณต้องหาให้เจอ เพราะในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา แม้แต่ “หุ้นชั้นดี” ก็ยังลงทั้งแบบมีเหตุผลและไม่มีเหตุผลก็มี”
ณัฐวัฒน์ทิ้งท้ายว่า ตลอด 30 ปีที่คลุกคลีในตลาดหุ้นเขาพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นมีคนเดียว คือคนที่มีวิธีคิดชัดเจน ไม่ใช่คนที่ลงทุนแบบกลับไปกลับมา แม้แต่นักเก็งกำไร ก็ควรต้องมีวิธีคิด และหลักการเก็งกำไรที่ชัดเจน
เก็บตกจาก 2 "เซียนนักลงทุน"
“อย่าทำแบบเดิมซ้ำๆ แล้วหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง”
“โจ ลูกอีสาน” อนุรักษ์ บุญแสวง เริ่มต้นด้วยการกระตุกให้นักลงทุนหันกลับไปทบทวนว่า คุณจะเลือกเป็นนักลงทุนแบบไหน จะเป็นนักลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานของกิจการ หรือเป็นนักเก็งกำไร เพราะมุมมองและทัศนคติที่ไม่เหมือนกัน ย่อมนำมาซึ่งแนวคิดและวิธีการลงทุนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“แต่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบไหน ถ้าไม่ยอมทำการบ้านเอง มัวแต่ทำตามกระแส ตามเพื่อน ตามไลน์ หรือตามมาร์เก็ตติง รับรองเจ๊งแน่นอน อย่าคิดว่าการลงทุนมันง่าย แต่การจะเป็นแบบ ดร.นิเวศน์ หรือแบบผม ก็ไม่ยาก เพียงแต่หน้าที่ของเราคือ ทำตามหลักการ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าทำมา 5-6 ปี แล้วรวยขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำต่อไป..
แต่ถ้ายังไม่รวยขึ้นสักที ก็อาจจะต้องถามตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไหม อาจจะต้องเปลี่ยนวิธี อย่าทำแบบเดิมซ้ำๆ แล้วหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ถ้าเคยเป็นนักเก็งกำไรแล้วไม่รอด ก็ลองเปลี่ยนเป็นมาเป็นนักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมาหมดแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็เป็นไปได้ที่คุณอาจจะไม่เหมาะกับหุ้น ควรพิจารณาเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนแทนอาจจะดีกว่าก็ได้”
สุดท้ายนี้ โจ ลูกอีสานได้ให้ “แก่น” ในการลงทุนแนววีไอในแบบฉบับของเขา ซึ่งประกอบด้วย “หัวใจ 4 ข้อ” ได้แก่
1) ให้คิดว่าหุ้นคือธุรกิจ ถ้าบริษัทโต มีปันผลเพิ่ม แล้วคุณซื้อมาในราคาไม่แพง รับรองได้ว่า ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ราคาไม่ขึ้น
2) ต้องรู้มูลค่าของหุ้นที่จะลงทุน เพื่อจะได้รู้ว่าหุ้นถูกหรือแพงเวลาเทียบกับราคาตลาด
3) ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น หรือซื้อในราคาที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ซึ่งสำหรับโจ ปัจจุบันเขาตั้งส่วนเผื่อฯ ไว้ที่ 20% จากที่เคยตั้งไว้ที่ 30%
4) มีสติรู้เท่าทันตลาดหุ้น ซึ่งโจย้ำว่าข้อนี้ยาก แต่สำคัญมาก
“ดัชนีตลาดหุ้นเปรียบเหมือนคนบ้า ตอนดัชนีหุ้นขึ้น ก็เหมือนคนบ้าดีใจ ตอนดัชนี หุ้นลง ก็เหมือนคนบ้าเศร้า เราต้องพยายามทำตัวเป็นคนที่สติดี ตอนหุ้นลง เราต้องไม่เศร้า แล้วดูว่าหุ้นตัวไหนน่าซื้อ ตอนหุ้นขึ้นไปเยอะๆ ทุกคนดีใจ เราต้องระวัง ซึ่งการควบคุมอารมณ์เป็นอุปสรรคของนักลงทุนส่วนใหญ่” โจ ลูกอีสานทิ้งท้าย
“หุ้นตัวไหน ถ้า 5 ปีคุณไม่กล้าถือ แค่ 5 นาทีก็ไม่ควรถือ”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแนว VI สรุปถึงหลักคิดการลงทุนที่ท่านยึดถือมาตลอด คือการลงทุนแบบเป็นเจ้าของกิจการ และวิเคราะห์บนปัจจัยพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก โดยมีข้อคิดสำคัญคือ ถ้าหุ้นตัวไหนไม่มั่นใจว่าจะกล้าลงทุน 3-5 ปี ก็ไม่เลือก แม้ว่าในวันนี้ ราคาหุ้นตัวนั้นจะขึ้นแค่ไหนก็ตาม หรือรู้ว่าภายในปีนี้ บริษัทจะมีโครงการอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าไม่สามารถรู้ หรือเห็นอนาคตได้ว่าอีก 5 ปี บริษัทจะเป็นอย่างไร จะไปทิศทางไหน ดร.นิเวศน์ ก็จะสละโอกาสในการถือหุ้นตัวนั้นเสีย
“ถือว่ามันไม่ใช่ทางของเรา เพราะถ้าหุ้นตัวนั้น 5 ปีคุณไม่กล้าถือ แค่ 5 นาที คุณก็ไม่ควรถือ เพราะบางทีเราเห็นว่าหุ้นมาแรง แต่มันอาจมีเหตุการณ์ไม่แน่นอนเกิดขึ้น แล้วเราขายไม่ทันก็ได้ ฉะนั้น เราเลือกแบบมั่นคงแน่นอน รู้ว่าอีก 5 ปีมันโตขึ้นแน่ๆ ถึงแม้จะไปช้าหน่อย อย่างนี้ดีกว่า แล้วเมื่อกล้าซื้อแล้วก็ต้องกล้าถือนานๆ ระหว่างทางราคาใครจะขึ้นจะลง ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะราคาขึ้นลงด้วยปัจจัย 108”
ปรมาจารย์แห่งวงการวีไอเมืองไทยให้แง่คิดว่า เนื่องจากในระยะยาว ราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการ ถ้ากำไรขึ้นทุกปี ปันผลก็น่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ราคาหุ้นก็ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ฉะนั้น สิ่งที่นักลงทุนวีไอควรให้ความสำคัญกว่าการติดตามราคาหุ้นรายวัน คือการอ่านผลประกอบการทุกไตรมาส และติดตามนโยบายและกลยุทธ์ด้านการตลาดของบริษัท ซึ่งวิธีง่ายที่สุดคือ การสำรวจจากตลาดว่าสินค้าหรือบริการของบริษัทนั้นขายดีไหม ลูกค้าพอใจแค่ไหน มีการขยายสาขาหรือไม่ ฯลฯ ควบคู่กับการสำรวจ “ปัจจัยความสำเร็จ” ทางธุรกิจของบริษัท อาทิ มีเครือข่ายใหญ่ มีลูกค้าดี มีสินค้าดี ฯลฯ หรือไม่
“เราหาหุ้นที่มีแนวโน้มดีทั้งผลประกอบการ มีปัจจัยความสำเร็จพร้อม และตลาดตอบรับดี หาให้ได้สัก 5-6 ตัว แล้วถือไปเรื่อยๆ ดูมันเติบโตไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายปี พอถึงวันนึง เราก็จะเห็นเองว่าพอร์ตเราใหญ่ขึ้น ส่วนเสียงรบกวน (Noise) ระยะสั้นมันมีตลอดเวลา ถ้าตั้งใจจะถือยาวแล้ว ก็อย่าไปสนใจมันมาก”
ดร.นิเวศน์ ยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน การจะหาหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาไม่แพง หรือมี PE (Price/Earning Ratio) ต่ำ เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็อาจจะพอมีอยู่บ้าง “เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร” ซึ่งแปลว่านักลงทุนในยุคนี้ต้องทำการบ้านให้หนักขึ้น หรือไม่ก็อาจจะเลือกใช้วิธียอมรับความจริงว่า หุ้นตัวที่ดีมากแต่ราคาไม่แพง “ไม่มี” ให้เลือกหุ้นตัวที่ดีรองลงมา พร้อมกับยอมลดอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังลง หรืออีกวิธีคือ ออกไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโต ซึ่งปัจจุบัน ดร.นิเวศน์ ลงทุนในเวียดนาม โดยใช้หลักเลือกหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า และมีปันผลไม่ต่ำกว่า 5% โดยซื้อหว่านเพื่อกระจายความเสี่ยง
ที่มา : Money Channel