ห้องเม่าปีกเหล็ก

SCC กำลังเจอความท้าทาย

โดย Edrink
เผยแพร่ :
270 views

SCC กำลังเจอความท้าทาย

ธุรกิจเริ่มชะลอแถมไอพีโอ SCGC อาจล่าช้า

โบรกเกอร์ปรับลดคำแนะนำเป็น "ขาย"

 

.

SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีปัจจัยลบรุมเร้า เห็นได้จากราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับลดลงกว่า 6% (อ้างอิงจากราคาปิดวันที่ 15 ก.ย.65 ที่ระดับ 341 บาท) ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างออกมาประเมินว่าระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกหลังธุรกิจปิโตรเคมีฯ ที่อ่อนแอ ทำให้ผลงานครึ่งหลังของปี 2565 จะชะลอตัวลง และแผนการนำ SCGC เข้าเทรดก็มีโอกาสที่จะล่าช้าอีกด้วย

.

ไล่เรียงจากมุมมองของนักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แม้ราคาปัจจุบันมี Upside gain 15.6% และประเมินว่าหุ้นมี Valuation ระดับต่ำแล้ว เพราะปัจจุบันซื้อขายบน P/BV ที่ 1.1 เท่า ใกล้เคียงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551 และช่วงการแพร่ระบาดรอบแรกปี 2563

.

อย่างไรก็ตามปรับลดคำแนะนำลงเป็น TRADING (จาก “ซื้อ”) และปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 400.00 บาท เนื่องจากมองว่า ระยะสั้นหุ้นยังไม่มี Catalyst บวก

.

โดยคาด 1 เดือนข้างหน้าหุ้นอาจถูกกดดันจากการปรับลดประมาณการของตลาด (คาดการณ์กำไรปี 2565 – 2566 ของฝ่ายวิจัยต่ำกว่า IAA Consensus 13-18%) รวมทั้งอาจมี Sentiment ลบจากความไม่แน่นอนของกระบวนการ Spin-off SCGC เนื่องจากสภาพตลาดปิโตรเคมีปี 2566 ที่ยังไม่โดดเด่น

.

ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการงวดครึ่งปีหลัง 65 คาดลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากความอ่อนแอของตลาดปิโตรเคมีที่จะส่งผลต่ออัตราการผลิตของ SCC, ธุรกิจ PVC อ่อนแอลงจากการเข้าสู่ฤดูฝน และการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน, ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเข้าสู่ Low season และได้รับผลกระทบจากต้นทุนถ่านหิน

.

จากเหตุผลดังกล่าวจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 – 2566 ลง 11-19% เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท (ลดลง 36% จากปีก่อน) และ 3.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15%จากปี 65) ตามลำดับ

.

ขณะที่นับช่วงไตรมาส 3/65 ถึงปัจจุบัน Spread HDPE PP ยังปรับตัวลงต่อจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมองว่าการฟื้นตัวของตลาดปิโตรเคมีอาจใช้เวลานานกว่าที่เคยประเมินไว้ กดดันจากนโยบาย Zero-Covid ของจีนที่ยืดเยื้อ ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีครึ่งหลังปี 65 ยังอ่อนแอ (อุปสงค์จากจีนคิดเป็นราว 30% ของทั้งโลก),

.

รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซาจากนโยบายการเงินตึงตัวเพื่อสกัดปัญหาเงินเฟ้อ,สหรัฐฯ จีนยังไม่มีท่าทีผ่อนปรนนโยบายกำแพงภาษี และอุปทานจากกำลังผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก

.

มองข้ามไปยังปี 2566 แม้เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมของจีน (คาดมีสัญญาณดีขึ้นหลังประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ 16 ต.ค.)

.

อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการเปิดใช้งานโรงงานใหม่ที่ถูกเลื่อนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้การ COD ของโครงการ LSP จะยังไม่สามารถผลักดันกำไรปี 2566 ได้มากนัก (สินค้าปลายน้ำ -ต้นน้ำเริ่มผลิตปลายปี 2565 – ครึ่งแรกปี 66 แต่ใช้เวลา Ramp-up 3-6 เดือน)

.

ขณะที่บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ด้วยวัฏจักรเคมีขาลงและตลาดยังไม่ตอบสนองต่อปัจจัยนี้ ทำให้ปรับประมาณการใหม่ โดยผลประกอบการของฝ่ายวิจัยต่ำกว่าตลาด 7 – 20% ในปี 65 – 67 และด้วยความล่าช้า IPO ของ SCGC ซึ่งเป็นเพียงปัจจัยบวกเดียวในระยะสั้นทำให้ปรับคำแนะนำ และมูลค่าที่เหมาะสมลงเป็น “ขาย” มูลค่าที่เหมาะสม 312 บาท

.

ทั้งนี้มองว่าแผนการ IPO ของบริษัท SCGC มีโอกาสที่จะล่าช้าจากเดิม เนื่องจากตลาดหุ้นและเคมียังไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ดีพอ นอกจากนี้ การออกหุ้นกู้ 3 หมื่นล้านบาท ของ SCGC ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอต่อการดำเนินงาน และขาลงของวัฏจักร ด้าน CAPEX ของ LSP สูงสุดในปี 65 คาดจะ IPO ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 66 หลังตลาดกลับมาดีขึ้น

.

กลุ่มเคมีได้รับปัจจัยลบมากกว่าที่ตลาดคาด โดยอัตรากำไรของผลิตภัณฑ์จาก Naphtha โดนกดดันจากเศรษฐกิจโลกและจีนที่อ่อนแอ (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของอุปสงค์โลก) จากมาตรการ COVID Zero และสถานการณ์การผลิตที่กลับมาปกติ

.

โดย SCC ปรับลดกำลังการผลิตลง 15% เทียบกับกลุ่มที่ 20 – 25% ด้านผลิตภัณฑ์จาก Polyolefins คาดการผลิตคงที่จากไตรมาสก่อน ในช่วงไตรมาส 3/65 ด้านการผลิตของ Longsun ที่จะกลับมาเต็มที่ในครึ่งแรกปี 66 ยังไม่มากพอที่จะหนุนผลประกอบการ

.

ขณะที่ธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวไม่มากพอที่จะชดเชยต้นทุนถ่านหินที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ครึ่งหลังปี 65 ถ่านหินต้นทุนต่ำจะเริ่มหมดลง ทำให้ปรับประมาณการปี 65-67 ลง 4 – 11% หลังจากอัตรากำไรของเคมีและปริมาณขายที่ลดลง มีความเสี่ยงเชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลง และอัตรากำไรของเคมีที่เพิ่มขึ้น

 

 


Edrink