โบรกฯชู 6 หุ้นเด่นรับราคาพลังงานลดลง
หลังโอเปกพลัสลดกำลังผลิต-ยุโรปแบนรัสเซีย

.
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC+ ได้มีการประชุมเพื่อตกลงที่จะยึดเป้าหมายการผลิตน้ำมันเดิมเอาไว้ โดยในการประชุมในเดือน ต.ค. OPEC+ มีมติลดกำลังการผลิตน้ำมัน 2 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็น 2% ของความต้องการใช้ทั่วโลก ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2565 ถึงสิ้นปี 2566
.
ขณะเดียวกันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศชั้นนำ G7 สหภาพยุโรป (EU) และออสเตรเลียได้ข้อตกลงในการกำหนดเพดานราคา(price cap) น้ำมันดิบรัสเซียที่จะขายให้แก่ทั่วโลกอยู่ที่ 60 เหรียญสรัฐฯต่อบาร์เรล
.
ถือเป็น 2 ปัจจัยใหญ่ที่นักลงทุนเฝ้าติดตามและข้อสังเกตว่าต่อจากนี้จะมีหุ้นตัวไหนที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ได้รวบรวมความคิดเห็นและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจ
.
โดย บล.ดาโอ ออกบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองที่เป็นกลางต่อสองข่าวนี้ โดยเรามองว่าข่าวคงนโยบายกำลังการผลิตน้ำมันของ OPEC+ จะไม่ส่งผลต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบมากนัก ในขณะที่การกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซียที่ 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลก็ไม่น่าจะส่งผลต่ออุปทานน้ำมันโลกอย่างมีนัยสำคัญ
.
เนื่องจากว่าราคาน้ำมันดิบที่รัสเซียขายให้กับคู่ค้าในปัจจุบันหลักๆคือ จีนและอินเดีย ก็ซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าเพดานราคาน้ำมันดิบอยู่แล้ว อีกทั้งจีนและอินเดียก็ไม่ได้เข้าร่วมในการตั้งข้อกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบหรือคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียอยู่แล้ว ซึ่งรัสเซียยังคงยืนยันว่าจะไม่ขายน้ำมันที่ราคาถูกกว่าเพดานราคาและกำลังวิเคราะห์อยู่ว่าจะตอบสนองมาตรการนี้อย่างไร
.
ล่าสุด ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 3.4% เป็น 82.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หลังตลาดกลับมากังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในเบื้องต้นยังคงประมาณการราคาขายเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปีนี้ที่ 99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
.
ด้านบล.กรุงศรี ออกบทวิเคราะห์ว่า OPEC+ มีมติให้ปรับลดการผลิตที่ระดับ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันตามเดิม โดย OPEC+ meeting (4 ธันวาคม 2565) มีมติให้ลดการผลิตจำนวน 2 ล้านบาร์เรลต่อวันตามเดิมมีผลไปจนถึงสิ้นปี 2566 นอกจากนี้ EU กำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบของรัสเซียที่ 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่ำกว่ากลุ่ม G7 ที่ 65-70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นลบกับตลาดน้ำมัน หุ้นได้ประโยชน์ราคาพลังงานลดลง GPSC BGRIM GULF SCGP SCC TASCO
.
ซึ่งบล.หยวนต้า ได้ออกบทวิเคราะห์ GPSC ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 82 บาท ด้วยความน่าสนใจที่เป็นหุ้น Growth มีการเติบโตระยะยาวอีกมากทั้งตามเทรนด์การใช้พลังงานและการขยายธุรกิจตามเครือ PTT ขณะที่ผลประกอบการกำลังเข้าสู่รอบการฟื้นตัว ,ธีมการลงทุนสอดคล้องสภาพแวดล้อมในปี 2566 ที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และประมาณการมีอัพไซต์จากการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและการประกาศขึ้นค่า Ft มากกว่าคาด
.
ขณะเดียวกันได้ออกบทวิเคราะห์ BGRIM ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 43 บาท เนื่องจากปี 2566 คาดกำไรปกติจะสามารถเติบโตได้จากปีก่อนหน้าและเติบโตได้ต่อเนื่องทุกไตรมาส เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวลงจากฐานที่สูง ซึ่งคาดจะเริ่มปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกและค่า Ft ที่มีปรับตัวลงช้ากว่าต้นทุน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง
.
รวมถึงออกบทวิเคราะห์ GULF ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 66 บาท เนื่องจากคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/65 มีประเด็นเก็งกำไรหลัก 3 ประเด็น ได้แก่การยื่นข้อเสนอขายไฟให้กับ กกพ. ตามแผนรับซื้อของ กกพ ที่ 5.2GW ,การเปิดเผยแผนการลงทุน Data center และการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในยุโรปเพิ่มเติม
.
ด้านบทวิเคราะห์ SCGP ก็ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 63 บาท ในระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีน แต่มองว่าการย่อตัวเป็นจังหวะสะสมหลังกำไรของบริษัทฯผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว
.
พร้อมกันนี้บทวิเคราะห์ของ SCC ได้ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” และราคาเหมาะสมที่ 400 บาท เนื่องจากในระยะยาว SCGJWD จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ Flagship ที่มีความสำคัญต่อ SCC โดยฐานะการเงินของ Merged-co ที่ดีขึ้นจะช่วยรองรับโอกาสการเติบโตจาก Mega Trend และการขยายตัวแบบ Inorganic growth แต่ในระยะสั้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ (สัดส่วนกำไร 1-2%) ขณะที่การสร้าง Synergy จะเริ่มเห็นชัดเจนในปี 2567
.
สุดท้ายสำหรับบทวิเคราะห์ TASCO ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 16.50 บาท เนื่องจากหุ้น TASCO มีประเด็นเก็งกำไรเฉพาะตัวคือประเด็นการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่อเวเนซุเอลา ซึ่งในกรณีที่มีการยกเลิกมาตรการดังกล่าวจริง บริษัทจะสามารถกลับไปใช้น้ำมันดิบจากเวเนซุเอลาอีกครั้ง และทำให้ปริมาณขายและอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมีโอกาสฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับปี 2559-2563 และจะส่งผลให้ราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 24 บาท