เตือนเสี่ยงลงทุนทองคำ แนะเล่นสั้น หลังราคาดีดขึ้นกว่า 16%
เตือนลงทุนทองคำช่วงขาขึ้น ระวังแรงเทขายหลังราคาดีดตัว ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันกว่า16% แนะเก็งกำไรระยะสั้นตามปัจจัยของสงครามการค้า เฟดลดดอกเบี้ยและดอลล์อ่อนค่า คาดทิศทางทองคำถึงปลายปียังเป็นขาขึ้นแต่อัพไซด์จำกัด ถือยาวเสี่ยง
นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าจากแรงหนุนทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ตึงเครียด ส่งผลให้มีแรงซื้อทองคำในฐานะสิน ทรัพย์ปลอดภัย กอปรกับกองทุน SPDR Gold Trust กองทุน ETF รายใหญ่ของโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง หนุนให้ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันปรับขึ้นจาก 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯมายืนเหนือ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
“ราคาทองคําได้ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากไม่มีปัจจัยหนุนดังกล่าวก็อาจจะกลับมานิ่งดังนั้นการลงทุนควรลงระยะสั้น (1-2 เดือน) ไม่แนะให้ถือยาวเพราะมีความเสี่ยงสูง เราประเมินว่าหากเฟดปรับลดดอกเบี้ยรอบแรก ราคาทองคำจะปรับขึ้นระดับ 1,450 ดอลลาร์ฯ และหากลดดอกเบี้ยรอบ 2 ราคาทองคําจะปรับขึ้นแตะ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯแต่กลับปรากฏว่า ราคาทองปรับขึ้นเร็วกว่าคาด ทั้งๆที่ยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยรอบ 2 สะท้อนว่าตลาดรับรู้ไปแล้วว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก”
อย่างไรก็ดีแนวโน้มราคาทองคำยังขึ้นได้อีก ช่วง 1,535-1,550 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อัพไซด์จำกัด ปัจจัยหนุนจาก 1. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนยังดำเนินต่อคาดยังไม่จบลงได้ง่ายๆ 2. เฟดลดดอกเบี้ยลงต่อ และ 3. เบร็กซิทในกรณีที่ไม่มีข้อตกลง แต่หากเป็นในทิศทางตรงข้ามราคาทองคำจะกลับมานิ่ง
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส- ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่าแนวโน้มราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น จากความกังวลเศรษฐกิจโลกผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน อีกทั้งผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (bond yield) 10 ปี ลงมาตํ่ามากจากต้นปีอยู่ที่ 2.6% ล่าสุดอยู่ระดับ 1.75%
“ราคาทองคำถือว่าแพงไม่ควรจะเล่นตาม แต่หากจะลงควรเป็นช่วงสั้นๆ เล่นเมื่อมีอีเวนต์สงครามการค้าหรือเฟดลดดอกเบี้ย เชื่อว่าสงครามการค้ายังลากยาวถึงสิ้นปี เนื่องจากสหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีจากจีนเพิ่มอีก 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 1 กันยายนนี้และอาจจะปรับขึ้นเป็น 25% ขณะที่จีนตอบโต้โดยไม่ซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ การลดค่าเงินหยวน ส่วนธนาคารกลางสหรัฐฯก็ยังมีรูมลดดอกเบี้ยลงได้อีก หลังจากปี 2561 เฟดขึ้นดอกเบี้ยทั้งปีถึง 4 ครั้ง”
สถิติราคาทองคำย้อนหลัง 10 ปี (2551-2561) ปรับขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% และตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-8 ส.ค.62) ปรับขึ้น 16.8% แตะระดับ 1,519 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ (8สิงหาคม 2562) โดยราคาทองคำเคยปรับขึ้นมากสุดในปี 2550 เพิ่มถึง 31% จาก 636.7ดอลลาร์สหรัฐฯเป็น 833.93 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และแตะระดับสูงสุดในปี 2554 ที่ 1,920ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จก. ระบุในบทวิเคราะห์ว่า World Gold Council รายงานโครงสร้างตลาดทองคำไตรมาส 2/2562 พบว่าความต้องการทองคำรวมเพิ่มขึ้น 8% QoQ, 9% YoY เป็น 1,146 ตัน ที่เพิ่มขึ้นมากคือความต้องการเพื่อการลงทุนผ่านกองทุนทองคำ (Gold ETF) เพิ่มขึ้น 67% QoQ, 99% YoY เป็น 67 ตัน และธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเร่งตัว ขึ้น50% QoQ, 47% YoY เป็น 224 ตัน ขณะที่อุปทานรวมเพิ่มขึ้น 4% QoQ และ 6% YoY อยู่ที่1,187 ตัน
ทั้งนี้ยังคงมุมมองเชิงบวกกับราคาทองคำในปีนี้จากอัพไซด์ของ Dallar Index ที่เริ่มจำกัด และการที่ทองคำถูกใช้เป็น Safe Haven ช่วงที่สินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวน ขณะที่แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยเปิดอัพไซด์ให้ราคาทองคำในประเทศ แนะนำซื้อทั้งใน รูปแบบของการลงทุนในทองคำแท่ง, กองทุนทองคำ GLD /K-GOLD/KT- PRECIOUS/ GOLD Online มีแนวรับ 1,420-1,430 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และแนวต้าน 1,500-1,550 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
ด้านฮั่วเซ่งเฮงระบุ คาดทิศทางราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น มีแนวต้านที่แรกบริเวณ 1,510 ดอลลาร์และแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 1,520 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับแรกบริเวณ 1,490 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1,480 ดอลลาร์ ส่วนระยะสั้นคาดจะเคลื่อน ไหวในกรอบบริเวณ 1,480-1,510 ดอลลาร์ อย่างไรก็ดีต้องระมัดระวังแรงเทขายทำกำไร
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก