ห้องเม่าปีกเหล็ก

ต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทย หลังรู้ผลเลือกตั้งสหรัฐ

โดย knowledge_trader
เผยแพร่ :
81 views

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์ สถานีลงทุน โดย ศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาตลาด ThaiBMA

โดยปกติการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเป็นที่จับตาของนักลงทุนทุกครั้ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย Fed Funds Rate ได้กลายเป็นอัตราดอกเบี้ยหนึ่งที่นักลงทุนทั่วโลกใช้อ้างอิงในการลงทุน โดยนักลงทุนมักจะคาดการณ์ผลการประชุม และทำการปรับมูลค่าการลงทุนก่อนล่วงหน้าเสมอ

หากผลการประชุม "ไม่" เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนจะมีอาการ "ตระหนกตกใจ" และจะปรับเพิ่มหรือลดการลงทุนในมูลค่าที่ค่อนข้างสูง เช่นเดียวกันกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่เหนือความคาดหมายของตลาดไปอย่างมา

มากแค่ไหน ? สะท้อนได้จากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการลงทุน

สำหรับตลาดทุนไทย นักลงทุนต่างชาติได้ลดการลงทุน หรือ "ขาย" หลักทรัพย์ออกสุทธิในช่วงตั้งแต่วันที่ 10-25 พ.ย. 59 จากทั้งตลาดหุ้นเป็นจำนวน 22,533 ล้านบาท และตลาดตราสารหนี้จำนวน 85,400 ล้านบาท

เมื่อรวมกันขายสุทธิกว่า 107,933 ล้านบาท เมื่อดูเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วันหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐ และกลับมาเป็นการซื้อสุทธิในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (24-25 พ.ย.) โดยรวมแล้วในช่วงหลังการเลือกตั้ง (10-25 พ.ย.) ต่างชาติขายสุทธิตราสารหนี้ไทยรวมมูลค่า 85,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56% ของเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าลงทุนในปีนี้จนถึงก่อนการเลือกตั้ง โดยส่วนใหญ่เป็นการไหลออกจากตราสารหนี้ระยะสั้น 63,860 ล้านบาท และไหลออกตราสารหนี้ระยะยาว 21,540 ล้านบาท

ระดับการถือครองตราสารหนี้ไทยทั้งหมดของนักลงทุนต่างชาติล่าสุด (25 พ.ย. 59) อยู่ที่ 634,629 ล้านบาท อยู่ในตราสารหนี้กระทรวงการคลังระยะยาว 548,961 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2556 เล็กน้อย ที่อยู่ 557,782 ล้านบาท

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยใน 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นถึง 45 bps มาอยู่ที่ 2.62% ในช่วงเวลาไม่กี่วัน สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ ที่ปรับตัวสูงขึ้น 48 bps มาอยู่ที่ 2.36% และจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในรุ่นอายุต่าง ๆ ปรับตัวขึ้นไม่เท่ากัน จึงส่งผลให้ความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (yield curve) เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงความชันของเส้น yield curve มักอ้างอิงถึงส่วนต่างระหว่างผลตอบแทน (yield) ที่อายุ 2 ปี และ 10 ปี ภายหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐ yield curve ของไทยมีความชันสูงขึ้นมาอยู่ที่ 0.99% (จาก 0.58% เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 59) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการคาดการณ์ของนักลงทุนที่คาดว่าเงินเฟ้อในอนาคตจะสูงขึ้น หรือภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

ถัดจากนี้ไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ก็จะมีการประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งตลาดค่อนข้างเชื่อมั่นว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยคาดว่าจะมีการขายสุทธิอีกไม่มากนัก เนื่องจากเชื่อว่าที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้มีการปรับตัวล่วงหน้าไปแล้วตามปริมาณการขายสุทธิโดยรวม และการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้นดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ทำให้เงินทุนที่ไหลเข้ามาในปีนี้ที่เหลืออยู่ 65,299 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพียง 11,750 ล้านบาท และส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว 53,550 บาท ประกอบกับมูลค่าการถือครองของต่างชาติในตราสารหนี้ระยะยาวกระทรวงการคลังที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี2556แล้วจึงทำให้คาดการณ์ว่าต่างชาติน่าจะมีการขายตราสารหนี้ออกมาอีกไม่มากนัก

การที่yield ปรับตัวสูงขึ้น หรือการที่ yield อยู่ในทิศทางขาขึ้นนี้ สำหรับนักลงทุนในตราสารหนี้จะต้องระมัดระวังมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจาก yield แปร "ผกผัน" กับราคาตราสาร เมื่อ yield สูงขึ้นจะทำให้ราคาตราสารลดลง นักลงทุนอาจขาดทุนจากการลงทุนในตราสารหนี้ได้ หากมิได้ต้องการถือตราสารจนครบกำหนดอาย

โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาที่มีการ search for yield คือลงทุนในตราสารหนี้ที่เสี่ยงมากขึ้น เพื่อต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ราคาของตราสารเหล่านี้มักจะผันผวนกว่าปกติ จึงอาจทำให้นักลงทุนขาดทุนมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า high risk high return ที่ยังเป็นจริงอยู่เสมอ


knowledge_trader