
เงินบาทแข็งค่า แตะนิวไฮรอบเกือบ 2 ปี ขณะ SET index ระยะสั้นยังไร้ความชัดเจน แต่เห็นสัญญาณการสลับออกจากกลุ่มพลังงาน หันเข้าหาธีม “domestic play” ล่าสุด เป็นหุ้น CPN ที่เข้ามาร่วมในก๊วน “new highs club” แล้ว
ค่าเงินบาททำสถิติแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2558 โดยระหว่างวันเงินบาทหลุดระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ลงมาแตะ 33.94 บาท ทำให้ถ้าเทียบจากต้นปี เงินบาทแข็งค่ามาแล้วกว่า 5%
ข้อมูลในตารางข้างล่าง (ที่มา: รอยเตอร์) แสดงเปอร์เซนต์การแข็งค่าของเงินสกุลในภูมิภาคตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 5 มิ.ย.60) พบเงินบาทแข็งค่าเป็นรองจากเงินวอนเกาหลีใต้ (+8%) และดอลลาร์ไต้หวัน (+7%) และแข็งค่าในระดับใกล้เคียงกับเยนญี่ปุ่น และรูปีอินเดีย ที่แข็งค่าราว 5%
-----------------------------------------------------------------------
สกุลเงิน 5 มิ.ย. 60 สิ้นปี 59 %เปลี่ยนแปลง
-----------------------------------------------------------------------
Korean won 1118.100 1207.70 +8.01
Taiwan dlr 30.083 32.279 +7.30
Japan yen 110.580 117.07 +5.87
Rupee 64.335 67.92 +5.57
Baht 34.045 35.80 +5.15
Ringgit 4.265 4.4845 +5.15
Sing dlr 1.381 1.4490 +4.90
Yuan 6.804 6.9467 +2.10
Rupiah 13287.000 13470 +1.38
Peso 49.420 49.72 +0.61
---------------------------------------------------------------------
และในระหว่างที่มีกระแสกดดันเงินบาทแข็ง ล่าสุด ทางแบงก์ชาติก็ได้ประกาศการผ่อนคลายกฏเกณฑ์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการอนุญาตเพิ่มเติมให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ขณะในอีกด้านหนึ่งมาตรการดังกล่าวก็ถูกนักวิเคราะห์มองว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบัน
หนึ่งในหลักเกณฑ์ที่เป็นไฮไลท์สำหรับการผ่อนคลายซึ่งจะมีผลสิ้นปีนี้ก็คือ การอนุญาตให้นักลงทุนที่มีสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่ 50 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 100 ล้านบาท ให้สามารถลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ ภายใต้วงเงินลงทุนไม่เกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อรายต่อปี
ส่วนอีกหลักเกณฑ์คือการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ปล่อยกู้สกุลเงินบาทแก่ non-resident ที่เป็นผู้ประกอบการต่างประเทศ เพื่อการลงทุนในไทย รวมทั้ง non-resident ที่เป็นผู้ประกอบการที่จัดตั้งในประเทศในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เพื่อการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน หรือโครงการอุตสาหกรรมในประเทศดังกล่าว ซึ่งเป็นการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อไทย
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย (5 มิ.ย.) เม็ดเงินซื้อขายต่างชาติดูหนาตาขึ้น แต่เป็นยอดซื้อสุทธิที่ไม่มาก เพียง 490 ล้านบาท สลับกับฝั่งนักลงทุนสถาบันที่มียอดขายสุทธิ 1,749 ล้านบาท
หุ้นในกลุ่มพลังงานยังสร้างแรงกดดันต่อ SET index นำโดย PTT และ PTTEP จากข่าวบริษัทย่อยของ PTTEP ได้หยุดการผลิตชั่วคราวในโครงการ เอส1 ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย.เป็นต้นไป เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก. ส่งผลให้ปริมาณการขายน้ำมันดิบลดลงประมาณ 15,000 บาร์เรลต่อวัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ลดลงประมาณ 130 ตันต่อวัน และก๊าซธรรมชาติลดลงประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
เซ็นติเมนต์หุ้นกลุ่มพลังงานยังถูกฉุดตามทิศทางราคาน้ำมัน ภายหลังประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงป้องกันโลกร้อนครั้งที่ 21 ทำให้ตลาดมีมุมมองเป็นลบต่อทิศทางราคาน้ำมันโลกในช่วงนี้มากขึ้น
Money Channel สอบถามคุณวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ แห่ง บล.บัวหลวง มองผลกระทบที่เกิดกับหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันทยอยปรับพอร์ต ย้ายเงินไปเข้าในหุ้น “Domestic plays” มากขึ้น เพราะหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนปัจจัยต่างประเทศ ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี จึงเป็นเรื่องปกติที่จะถูกแรงขายออกมา
ส่วนหุ้นในกลุ่มที่น่าสนใจ มองว่าได้แก่ ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
"ตอนนี้กลุ่มพลังงานเริ่มมีแนวโน้มเป็นลบ สังเกตได้จากบทวิเคราะห์ต่างชาติเริ่มลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มน้ำมันลง ทำให้เงินลงทุนของกองทุนต่างๆ จึงปรับพอร์ตโยกเข้ามาพักในหุ้นกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศมากขึ้น สะท้อนได้จากราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาโดดเด่น ซึ่งหลังจากนี้หุ้นขนาดกลางและเล็ก น่าจะเริ่ม Outperform ตามหุ้นตัวใหญ่ที่วิ่งกันไปแล้ว"
"เซ็นทรัลพัฒนา" (CPN) เป็นหุ้นค้าปลีกรายใหญ่ ที่ล่าสุดราคาหุ้นขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ พร้อมด้วยปริมาณซื้อขายหนาแน่น โดยราคาหุ้นขึ้นมาใกล้ IAA Consensus ที่กำหนดราคาพื้นฐานเฉลี่ยที่ 69.50 บาทแล้ว
คุณสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) บอกกับ Money Channel ว่า ราคาหุ้น CPN ปรับตัวขึ้นมาโดดเด่น มองว่าเป็นผลบวกจากแผนการเติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2561 แม้ว่าในปีนี้ผลประกอบการโดยรวมจะเติบโตไม่หวือหวานัก เพราะศูนย์การค้าแห่งใหม่ 3 โครงการจะเริ่มเปิดให้บริการเป็นทางการในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งได้แก่ สาขานครราชสีมา มหาชัย และภูเก็ต ทำให้จะรับรู้รายได้เข้ามาในปีหน้าเต็มปี โดยแตกต่างจากปี 2559 ที่เปิดศูนย์การค้าใหม่เพียง 1 โครงการเท่านั้น
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา CPN ได้ปรับปรุงพื้นที่เช่าในโครงการใหญ่หลายแห่ง อาทิ พื้นที่เช่าในเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างรายได้ให้ลดลงกว่าปกติ
และนอกเหนือจากศูนย์การค้าแห่งใหม่จะรับรู้ในปีหน้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีการรับรู้รายได้เต็มปีของคอนโดมิเนียมอีก 3 แห่ง ในพื้นที่หัวเมืองหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และระยอง ที่คาดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ช่วงครึ่งปีแรกปี 2561 มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท พร้อมกับมีแผนก่อสร้างและเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 3 แห่งปลายปี 2560 เพื่อรับรู้รายได้ในอนาคต มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท
เมย์แบงก์ฯ ยังคงประมาณการ CPN อิงราคาพื้นฐาน 67 บาท เพราะคาดกำไรไตรมาส 2 แม้จะลดลงเมื่อเทียบ Q/Q ตามผลของฤดูกาลและอัตราเช่าพื้นที่ลดลงตามผลปรับปรุงเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ยังมองว่ากำไรยังเติบโตเมื่อเทียบ Y/Y เนื่องจากปรับขึ้นค่าเช่า และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนทั้งปีคาดกำไรสุทธิแตะ 9.97 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ทำได้ 9.24 พันล้านบาท และในปี 2561 คาดกำไรสุทธิแตะ 1.23 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยปี 2562 คาดกำไรสุทธิแตะ 1.36 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ หุ้นอาจจะมีอัพไซด์เพิ่มเติมจากบันทึกกำไรพิเศษการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (CPNRF) เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ปัจจุบันมีมูลค่า 2.9 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนศึกษาขายสินทรัพย์เข้ากองทุนดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 9 พันล้านบาท โดยคาดจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
ด้านคุณดนัย ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ผู้อำนวยฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) บอกกับ Money Channel ว่า ราคาหุ้น CPN ปรับตัวขึ้นโดดเด่นจนทำสถิติสูงสุดใหม่นั้น เบื้องต้นยังไม่เห็นปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนชัดเจน โดยปัจจุบัน ฟิลลิปฯ ยังคงประมาณการเดิมที่ราคาพื้นฐาน 69 บาท และปรับลดคำแนะนำเหลือ "ถือ" จากเดิม "ทยอยซื้อ" เพราะราคาบนกระดานมีอัพไซด์จำกัดแล้ว
ส่วนมุมมองบวก คือในปี 2561 ที่คาดรายได้จะเติบโต 20-25% ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีนี้ที่คาดเติบโต 6-8% เป็นผลจากการรับรู้รายได้เต็มปีของคอนโดมิเนียมและศูนย์การค้าใหม่ที่จะเปิดดำเนินการ 3 แห่ง และอยู่ระหว่างติดตามความคืบหน้าการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ ว่าจะทันภายในปีนี้ตามแผนเดิมหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยเพิ่มอัพไซด์ในอนาคต
*********************************
ที่มา : Business&Finance, Money Channel