เทรดหุ้นรายวัน ควรใช้กลยุทธ์แบบไหน ?

.
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่หันมาเทรดหุ้นแบบรายวัน (Day Trade) มากขึ้น ซึ่งการลงทุนแบบนี้ เป็นการลงทุนระยะสั้นมากๆ โดยต้องอาศัยความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงสั้นๆ เพื่อแสวงหาผลกำไร
.
แน่นอนว่า การลงทุนลักษณะดังกล่าว มีโอกาสสร้างผลกำไรได้รวดเร็วกว่าการลงทุนที่เน้นความปลอดภัย อย่างการลงทุนระยะยาว เพียงราคาหุ้นขยับเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ก็สามารถทำกำไรได้ทันที
.
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลองมองอีกด้านหนึ่ง ก็คงไม่มีใครที่สามารถคากเดาภาวะตลาดหุ้นได้ถูกต้องเสมอไปใช่ไหมหล่ะ นั่นจึงทำให้โอกาสที่เราจะต้องเผชิญกับผลขาดทุน สูงมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน !
.
โดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนแบบ Day Trade จึงจำเป็นที่ต้องศึกษากฏ กติกาต่างๆ และวางแผนการลงทุน และกลยุทธ์ต่างๆ ให้มีความรอบคอบ และรัดกุมที่สุด
.
ซึ่งจุดเริ่มต้นของนักลงทุน ที่จะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นนักลงทุน Day Trade ที่ดีได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า จะต้องเป็นคนที่ใช้สตินำหน้าอารมณ์ เพราะขณะที่เรากำลังดูหุ้นในกระดานอยู่นั้น เชื่อเถอะว่า จะต้องมีทั้งความโลภ และความกลัว แทรกเข้ามาในจิตใต้สำนึกเราบ้างไม่มากก็น้อย
.
ซึ่งหากอารมณ์ทั้ง 2 เข้าแทรกในจิตใจของเราได้แล้ว จะทำให้เราถูกครอบงำ และในที่สุด ก็เผลอตัดสินใจลงทุนตามจิตวิทยาตลาดไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะเปิดความเสี่ยงให้เกิดการขาดทุนได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้น เราจึงควรมีสติ และลงทุนตามกลยุทธ์ที่เราวางไว้แต่แรก
.
หลังจากควบคุมสติกันได้แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการเลือกหุ้น ซึ่งการลงทุนแบบ Day Trade เราควรเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติ 2 ข้อ คือ มีปริมาณการซื้อขายสูง และ พฤติกรรมของราคาหุ้นมีความผันผวนสูง
.
การเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติ 2 ข้อดังกล่าว จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า จะสามารถขายหุ้นได้ในเวลา และราคาที่มีความเหมาะสม รวมทั้ง ยังมีการเคลื่อนไหวของราคาที่กว้างพอจะสร้างกำไรได้ระหว่างวันนั่นเอง
.
ทีนี้ เมื่อเราล็อคสเป็คหุ้นก็ได้แล้ว ก็ลองมาดู 3 กลยุทธ์หลัก ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯแนะนำดูบ้างนะ ว่าจะมีกลยุทธ์ใดที่น่าสนใจกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลยนะทุกคน ....
.
1. Scalping : เป็นกลยุทธ์การทำกำไรโดยการเปิดและปิด การซื้อขายในช่วงสั้นๆ ทำกำไรเพียงไม่กี่จุด (ส่วนมากจะอยู่ราวๆ 5 - 20 จุด) พูดง่ายๆ คือ ทำกำไรในหุ้นนั้นทันทีที่ราคาหุ้นขยับขึ้น ถึงจุดที่กำหนด ซึ่งหัวใจของการใช้เทคนิคนี้ คือ "เข้าให้ไว กำไรรีบออก เน้นกำไร จุดน้อยๆ แต่บ่อยๆ"
.
ตัวอย่างเช่น เราซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท ตั้งขาย 10.10 บาท (ยังไม่รวมค่าคอม) เมื่อ หุ้นขึ้นไปถึงราคา 10.10 บาท ก็ขายทำกำไรทันที เป็นต้น
.
2.Fading : ป็นการทำกำไร โดยการซื้อขายตรงข้ามกับแนวโน้ม โดยจะ"ขายหุ้น" เมื่อราคาของหุ้นนั้นกำลังจะสูงขึ้น และ "ซื้อหุ้น" เมื่อราคาของหุ้นกำลังจะลง ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ที่ผ่านมาหุ้นตัวนี้ถูกซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือนักลงทุนมีต้นทุนไม่มาก พร้อมที่จะขายทำกำไรตั้งแต่เนิ่นๆ และแรงซื้อ ตามกำลังจะหมดลง
.
3.Momentum : เป็นการเก็งกำไรตามกระแสและทิศทางของหุ้น ด้วยการพิจารณาประเด็นข่าวที่เข้ามา แนวโน้มของหุ้น ณ เวลานั้น และ ปริมาณการ ซื้อขายว่าหนาแน่นหรือไม่ ประกอบกันไป เพื่อทำกำไรจากหุ้นที่กำลัง จะกลายมาเป็นจุดสนใจจากประเด็นต่างๆนั่นเอง
.
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญสุดๆที่ขาดไม่ได้ในการลงทุนระยะสั้น คือ การกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ซึ่งมีวิธีการเลือกง่ายๆ 2 แบบ คือ เลือกจุดหยุดขาดทุนที่ยอมรับได้มากที่สุด
.
นั่นคือ สำรวจกระเป๋าเงินของตนเองว่ารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน หรือเลือกจุดหยุดขาดทุน ทางเทคนิคจากตัวหุ้นนั้นๆ ซึ่งต้องดูกราฟและข้อมูลประกอบด้วย แต่ถ้าจะให้ดี การเลือกจุดหยุดขาดทุน จะต้องดูทั้งสองด้าน ประกอบกัน
.
อย่างไรก็ตาม หากใครก็ตามที่กำลังตัดสินใจอยากลงทุนรายวัน ตลาดหลัทรัพย์ฯ ก็มีสถิติที่น่าชื่นใจฝากทิ้งท้าย คือ ผลการวิจัยแต่ละปี มีนักลงทุนที่ลงทุนรายวันเพียง 20% เท่านั้น ที่จะได้กำไร ส่วนอีก 80% จะขาดทุนจากการลงทุน
.
by บ.บูม