ห้องเม่าปีกเหล็ก

เสียกรุง (ไทย) ครั้งที่ 3...ตอนที่ 3

โดย ฐานเศรษฐกิจ
เผยแพร่ :
64 views

 

ภายหลังจาก นายวรภัค ธันยาวงษ์ เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของธนาคารกรุงไทยในเดือนพฤศจิกายน 2555 และได้ปล่อยสินเชื่อให้ EARTH มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อเหมืองถ่านหินที่อินโดนีเซีย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เห็นแม้กระทั่งใบอนุญาตในการประกอบกิจการ (Operating License) สายสัมพันธ์ที่แนบแน่น ความเมตตาที่ล้นเหลือ จากเจ้าหนี้สู่ลูกหนี้ ส่งผลให้ EARTH ติดปีกบินต่ออย่างสบายอกสบายใจ

นายวรภัค ธันยาวงษ์

ความเมตตาคือหนึ่งในหลักปฏิบัติของพรหมวิหาร 4 แต่กรณีนี้ มันคือ “ความเมตตาที่ไร้ซึ่งอุเบกขา” ส่งผลให้หลักธรรมขาดหายไปช่วงระหว่างปี 2557-2558 ธนาคารกรุงไทย โดยผู้กุมบังเหียนคนเดิมคือ “นายวรภัค ธันยาวงษ์” ก็ได้อนุมัติสินเชื่ออีกก้อนมูลค่า กว่า 1.5 พันล้านบาท ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ EARTH “ครอบครัวพิหเคนทร์” เพื่อไปซื้อหุ้น EARTH เพิ่มในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยราคาหุ้นช่วงนั้นเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ขยับขึ้นจาก 5 บาทกว่าไปสูงสุดที่ 7 บาทกว่า (สุดท้ายก็ถอยลงมาสู่ที่ 5 บาทกว่าอีกครั้ง ณ สิ้นปี 2557)

 

และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผู้ถือหุ้นมหาชนของ EARTH ได้เชยชมความมั่งคั่งบนวิมานเมฆของราคาหุ้น EARTH

 

เหตุผลที่ทีมอนุมัติสินเชื่อธนาคารกรุงไทย นำโดยนายวรภัค และคุณแอน (นักเรียนทุนธนาคารกรุงไทย) หยิบยกมาใช้ในการอนุมัติให้

 

กู้คือ ณ ขณะนั้น ธนาคารกรุงไทยเห็นว่า “กลุ่มครอบครัวพิหเคนทร์” และ “นายขจรพงศ์ คำดี” ถือหุ้นรวมเพียงกว่า 40% จึงอยากให้ถือเพิ่มขึ้น เพราะเล็งเห็นว่า “ครอบครัวพิหเคนทร์” นี้ช่างมีความสำคัญต่อ EARTH อย่างเหลือหลาย เรียกได้ว่า “ชี้เป็นชี้ตาย” บริษัท EARTH ได้... (ซึ่งจริงๆ วันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า “ชี้ตาย” ได้จริงๆ)

เหตุผลกับความจริงบางครั้งและหลายครั้งมักสวนทางกัน

 

คำถาม... ข้อกังขา... คำครหามากมาย ภายในองค์กรธนาคารกรุงไทย มีขึ้นหลังการอนุมัติสินเชื่อก้อนนี้

 

 คำถามที่ประชาชนมากมายอยากทราบเกี่ยวกับประเด็นสินเชื่อมหัศจรรย์ก้อนนี้คือ

 

1. การปล่อย “สินเชื่อเพื่อซื้อหุ้น” หรือ “Equity Financing” คือธุรกรรมที่ธนาคารกรุงไทย “ถนัด” และ “เหมาะสม” หรือ?

 

2.“กลุ่มครอบครัวพิหเคนทร์” และ “นายขจรพงศ์ คำดี” ก็ดูมีฐานะดี รํ่ารวยฟู่ฟ่า มีธุรกิจมากมาย สังเกตจากข่าวประชาสัมพันธ์ ที่ให้ PR ทำให้ ก็มีธุรกิจบันเทิง ที่จะเข้าตลาดเยอรมนีมูลค่ากว่าหลายพันล้าน ทำไมธนาคารกรุงไทย และ “นายวรภัค ธันยาวงษ์” ถึงต้องกังวลหนักหนาในสัดส่วนการถือหุ้น!

 

3. กรณีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหุ้นลักษณะนี้ ท่านมีบรรทัดฐานเดียวกันกับลูกค้ารายอื่นหรือไม่ เช่น ลูกหนี้ธนาคารกรุงไทยทุกรายต้องถือหุ้นเกิน 45-50%? หากไม่...ท่านจะปล่อยสินเชื่อให้ลูกหนี้ไปซื้อหุ้นของบริษัทเพิ่มทุกกรณีหรือ?

 

4. จำนวนหุ้นกว่า 40% ของ “กลุ่มครอบครัวพิหเคนทร์” และ “นายขจรพงศ์ คำดี” ณ ขณะนั้น ไม่เพียงพอควบคุมบริษัทหรือ? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น EARTH  ก็ไม่เคยส่งสัญญาณใดๆ ที่จะบ่งชี้ปัญหาในการควบคุมเสียงของการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่างๆ เพื่อดำรงนโยบายหลักของบริษัท

 

 

ตามข้อมูลในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี

 

ในปี 2555 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 79% และเกือบ 99.99% ลงมติสนับสนุน

 

ในปี 2556 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 79% และเกือบ 99.98% ลงมติสนับสนุน

 

ในปี 2557 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 81% และเกือบ 99.99% ลงมติสนับสนุน

 

ในปี 2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 77% และเกือบ 99.98% ลงมติสนับสนุน

 

ในปี 2559 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 78% และเกือบ 99.98% ลงมติสนับสนุน

 

ในปี 2560 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 77% และเกือบ 100.00% ลงมติสนับสนุน

 

นายขจรพงศ์ คำดี

สิ่งที่น่าสังเกต และน่าขันคือ หลังจากธนาคารปล่อยเงินกู้ไปซื้อหุ้น จำนวนเสียงเข้าร่วมประชุมก็ยังเท่าเดิม ลงคะแนนสนับสนุนก็ยังเท่าเดิม เสมือนหนึ่งว่าเงินกู้ซื้อหุ้นก้อนนี้ถูกนำมาซื้อหุ้นของพันธมิตรพวกเดียวกันเอง...?!?

 

อดสงสัยไม่ได้จริงๆ และอยากรู้นักว่าเงิน 1,500 ล้านบาท ที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ ถูกไปซื้อหุ้นใคร และ Matching กับใครบ้าง

 

สำหรับผู้อ่านที่ต้องการทดลองการบ้านแบบนักสืบสวนสอบสวน ก็ลองนำรายชื่อผู้ถือหุ้น EARTH ปี 2557-2559 (ซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะ) มาเปรียบเทียบดู แล้วท่านก็จะรู้เองว่าใครขายหุ้นได้ประโยชน์ไป

 

หาก “ครอบครัวพิหเคนทร์” และ “นายขจรพงศ์ คำดี” นำเงินกู้จากธนาคารรัฐ ซึ่งคือเงินฝากประชาชนทั้งประเทศมาซื้อหุ้นของสมัครพรรคพวกตนเอง หรือนอมินีตนเอง เพื่อให้ราคาสูงขึ้น และในราคาสูงเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้อง  คงเป็นเรื่องที่น่าสังเวชยิ่งและคงเป็นบาปกรรมที่จะตามติดตัวไปอีกหลายภพชาติ

 

อย่างไรก็ตาม เจตนาหรือไม่เจตนา เอื้อประโยชน์หรือไม่นั้น กระบวนการยุติธรรมและผู้คุมกฎก็ต้องไปตรวจสอบดู

 

และวันนี้หลักประกันของสินเชื่อก้อนนี้ซึ่งคือหุ้น EARTH มันกลายเป็นกระดาษที่เกือบหมดมูลค่า ไม่มีแม้สิทธิ์ที่จะเลือกโหวตชะตากรรมของตนเอง สืบเนื่อง

 

จากการเข้ากระบวนการฟื้นฟูด้วยความเห็นชอบของธนาคารกรุงไทยเอง!

พิบูล พิหเคนทร์ กรรมการบริหาร ,ขจรพงศ์ คำดี ซีอีโอ, และ ธนาวรรธน์ ประทุมสุวรรณ์ เอ็มดี

การที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพื่อไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปรียบเสมือนนำเงินฝากประชาชน ไปให้ลูกหนี้กู้เพื่อไปไล่ซื้อกระดาษที่ให้เพียงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของของบริษัทนั้นๆ ในราคาที่เปรียบดั่งภาพลวงตา และเมื่อบริษัทนั้นๆ เข้ากระบวนการฟื้นฟู หรือ เจียนเจ๊ง กระดาษเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ Wall Paper ที่ควรนำมาแปะฝาผนังไว้เพื่อเตือนสติตน

 

พฤติกรรมอันน่ากังขาเหล่านี้ต้องถามท่านสมชัย สัจจพงษ์ ประธานกรรมการ และนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ว่ารู้ข้อมูลเหล่านี้หรือ “เอาหูไปนาเอาตาไปไร่” ปล่อยให้อดีตคนในใต้บังคับบัญชากระทำการอันน่ากังขาแบบนี้

 

การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้มีผลสรุปอย่างไร ควรมีการชี้แจงออกสู่สาธารณชนบ้าง

 

 ธนาคารกรุงไทยมี 2 สถานะคือ

 

1. เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีหน้าที่ต้องปกป้องผู้ฝากเงิน ไม่ใช่เอาเงินฝากของประชาชนไปเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง

 

2. เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะรัฐถือหุ้น 55.0% ผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และผ่านกองทุนวายุภักดิ์อีก 4.72%

 

จึงส่งผลให้กระทรวงการคลังมีสัดส่วนในการบริหารแบงก์รัฐแห่งนี้อย่างเต็มที่โดยที่ผ่านมามักส่งปลัดกระทรวงการคลังไปเป็นประธานกรรมการและข้าราชการอื่นๆของกระทรวงการคลังเป็นกรรมการ

 

ที่ผ่านมาความบกพร่องในการอนุมัติสินเชื่อหลายกรณีของธนาคารแห่งนี้ ที่ผ่านมาจึงต้องถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ “ป.ป.ช.”

 

ต่อฉบับหน้า ตอนจบ กับเรื่องราวของสัตว์เลือดอุ่น และคำเฉลย ทำไม “ครอบครัวพิหเคนทร์” และ “นายขจรพงศ์ คำดี” นำโดย “นายพิสุทธิ์ พิหเคนทร์ อดีตประธานกรรมการ EARTH” จึงตัดสินใจอย่างเยือกเย็นที่จะเข้าแผนฟื้นฟู พร้อมทุกๆ ตัวละครหลังฉากที่หายไป และทุกๆ องค์กรที่พยายามร่วมกันกลบแผลๆนี้

 

คอลัมน์ : พอเพียงอย่างพอใจ / หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3302 ระหว่างวันที่ 5-7 ต.ค.2560

 


ฐานเศรษฐกิจ