10 เทรนด์ที่น่าจับตาในปี 2023: เมื่อแบรนด์ต้องโชว์ความจริงใจมากขึ้น และคนไทยหวงความเป็นส่วนตัว ทำให้การยิงโฆษณาออนไลน์ต้องใช้เงินมากขึ้น

.
ทุกวันเวลาที่ผันเปลี่ยน ย่อมหมายถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้นแบรนด์ไหนที่ปรับตัวได้ก่อนย่อมจะได้เปรียบ ล่าสุด นีลเส็น ประเทศไทย ได้เปิดเผยผลการสำรวจว่า ผู้บริโภคไทยมีการบริโภคและมีพฤติกรรมเสพสื่ออย่างไร ผ่านการวิเคราะห์และรวบรวม 10 เทรนด์มาแรงที่น่าจับตามองในปี 2023
.
1. การดูสตรีมมิงจะเหมือนการดูทีวีมากขึ้น
ตลาดการดูสตรีมมิงโตขึ้น โดย 57% ของคนไทยดูสตรีมมิง ซึ่งประเภทการดูสตรีมมิงที่นิยมที่สุดคือ AVOD (Advertising Based Video on Demand) หรือการดูสตรีมมิงแบบมีโฆษณามีสัดส่วน 74% และสตรีมมิงแบบเรียกเก็บค่าสมาชิก หรือ SVOD (Subscription Video on Demand) มี 26%
.
ผู้เล่นในตลาด AVOD มีมากขึ้น โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาด AVOD โตขึ้น คือการเกิดขึ้นของโมเดล FAST (Free Ad Supported TV) เป็นโมเดลการรับชมสตรีมมิง (ออนไลน์) แบบมีโฆษณาโดยไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก เป็นรูปแบบเดียวกันกับการดูทีวีแบบดั้งเดิม โดยเสนอคอนเทนต์ตามเวลาออกอากาศและมีโฆษณาขั้น เช่น แอปหรือเว็บของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ
.
จากผลสำรวจพบว่า 36% ของคนไทย มีการดูทีวีผ่านแอปหรือเว็บของสถานีโทรทัศน์ สะท้อนว่าคนไทยยอมดูโฆษณาเพื่อแลกกับดูคอนเทนต์ เป็นโอกาสให้แบรนด์เข้ามาจับตลาดโฆษณาในหมู่ผู้ชมสตรีมมิง
.
2. ผู้ใช้อุปกรณ์อัจฉริยะกำลังเติบโตขึ้น
การเติบโตดังกล่าวได้สร้างโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน (+19%) แท็บเล็ต (+586%) และสมาร์ททีวี (+73%) นอกจากจำนวนผู้ใช้โตขึ้น เวลาที่ใช้กับอุปกรณ์เหล่านี้ก็โตขึ้นไปด้วย
.
โดยอนาคตอุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นมากกว่าอุปกรณ์อัจฉริยะ แต่จะเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้แบรนด์ทำการตลาดได้ง่ายขึ้น แบรนด์จำเป็นต้องเตรียมรับมือโดยเฉพาะในแง่อีคอมเมิร์ซ ที่จะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างยอดขาย
.
เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ทีวีที่สามารถคลิกและช้อปปิ้งได้ผ่านหน้าจอ หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่จะมีระบบในการจ่ายเงินผ่านรถเมื่อซื้อของผ่าน Drive-Thru หรือการช้อปปิ้งด้วยคำสั่งเสียงผ่านสมาร์ทโฮม
.
3. ยุคของความเรียล แบรนด์ต้องโชว์ความจริงใจต่อผู้บริโภค
ผู้บริโภคไทยยุคใหม่ชอบความเรียล โดยวิธีสร้างความเรียลของแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ User-Generated Content หรือคอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าผู้บริโภคตัวจริง และมีความเกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ หรือแบรนด์โดยตรง เช่น การรีวิวต่างๆ
.
ผลสำรวจจาก Nielsen Trust in Advertising พบว่า 84% ของคนไทยเชื่อการบอกต่อจากคนรู้จัก (Word of Mouth) โดย 75% เชื่อในรีวิวจากโลกออนไลน์
.
4. อินฟลูเอ็นเซอร์เป็นตัวเชื่อมระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอินฟลูเอ็นเซอร์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย โดยมีอินฟลูเอ็นเซอร์ประมาณ 2 ล้านคน
.
อุตสาหกรรมความงามเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้อินฟลูเอ็นเซอร์มากที่สุด ซึ่งเหตุผลที่คนไทยติดตามอินฟลูเอ็นเซอร์เพราะความเรียล น่าเชื่อถือ (Authenticity)
.
โดย Influencer-Generated Content เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เข้าถึงผู้บริโภคง่ายขึ้น และสามารถเป็นตัวเชื่อมต่อที่ดีระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค และสามารถกระตุ้นให้เกิด User-Generated Content ตามมาได้
.
5. ประสบการณ์การช้อปแบบใหม่ เน้นความสนุก
Shoppertainment เป็นการรวมกันของสองคำคือ Shopping และ Entertainment เป็นการขายของผ่านคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ โดย Shoppertainment ไม่ใช่สิ่งใหม่ เป็นสิ่งที่เกิดมานานแล้ว เริ่มต้นจาก TV Shopping รายการขายของผ่านทีวี โดยมีโฮสต์มาเอ็นเตอร์เทน
.
ปัจจุบันกลุ่ม TV Shopping เป็นกลุ่มที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในปี 2022 ซึ่งกระแส Shoppertainment แรงขึ้นในปีนี้เพราะมี Short Video Content เป็นตัวขับเคลื่อน โดยการซื้อของผ่าน Social Media และ Live Streaming เป็นที่นิยมมากขึ้น
.
โดย 20% ของนักช้อปมีการซื้อของผ่านไลฟ์ และมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนว่าคนไทยรักความสนุก อารมณ์เป็นคีย์สำคัญในการช้อป และพร้อมเสียเงินถ้าคอนเทนต์ถูกใจ
.
6. อุตสาหกรรมการฟังมีการปรับตัวและโตขึ้น
จากวิทยสู่การฟังวิทยุผ่านโซเชียลมีเดีย หลายสถานีวิทยุมีการปรับตัวเพื่อถ่ายทอดสดผ่านช่องอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ จำนวนคนฟังเพลงผ่านช่องทางสตรีมมิงโตมากขึ้น
.
55% ของคนไทยทั้งประเทศมีการใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิงสำหรับการฟังเพลง เป็นโอกาสให้แบรนด์ทำโฆษณาผ่านการฟัง
.
สิ่งนี้ทำให้วิทยุยังไม่ตาย แต่มีการพัฒนาให้เข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น 46% ของคนไทยยังฟังวิทยุอยู่ และการโฆษณาผ่านวิทยุยังสามารถเข้าถึงคนในชุมชนได้ดี
.
7. โฆษณาขับเคลื่อน Shopping
เม็ดเงินโฆษณาในปี 2022 อยู่ที่ 1.186 แสนล้านบาท โต 9% จากปีที่ผ่านมา โดยสื่อที่โตขึ้นเป็นพิเศษจะมาจากสื่อนอกบ้าน โรงหนัง เพราะคนไทยก้าวข้ามการกลัวโควิดและออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
.
อุตสาหกรรมที่ใช้เงินมากที่สุดคือ ขายตรง/ทีวีโฮมช้อปปิ้ง รองลงมาคือยาสีฟัน และ กลุ่ม E-Marketplace ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูงสุด (+103% จากปี 2021)
.
จากผลสำรวจคนไทยกว่า 69% ซื้อของเมื่อเห็นโฆษณา สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ยังคงจำเป็นต้องใช้การโฆษณาในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ตัวเองอยู่
.
8. ‘แฟนกีฬา’ โอกาสทองที่แบรนด์ควรทำการตลาดด้วย
กระแสของกีฬาในประเทศไทยมีความคึกคักและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยมีกลุ่มผู้ชมและแฟนคลับกีฬาที่หนาแน่นมาก โดยเฉพาะฟุตบอลและวอลเลย์บอลที่เป็นกีฬาขวัญใจคนไทย
.
ฟุตบอลมีฐานแฟนมากกว่า 31.9 ล้านคน อันดับสองคือวอลเลย์บอลมีฐานแฟน 28.84 ล้านคน ทำให้เรตติ้งรายการกีฬาพุ่งแรง รายการกีฬาไหนที่มีทีมไทยเข้าร่วมแข่งขันด้วย จะได้รับเรตติ้งดีเป็นพิเศษ
.
จากรายงานเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์ม การถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2022 ที่เนเธอร์แลนด์และโปแลนด์ (ไทย+โดมินิกัน) ทำเรตติ้งได้สูงสุดของปี 2022 ทั้งช่องทางทีวีและดิจิทัล (Cross-Platform Ratings) ได้รับเรตติ้ง 10.088
.
จากการสำรวจของ Nielsen พบว่า 85% ของคนไทยเชื่อถือโฆษณาในรูปแบบสปอนเซอร์/ผู้สนับสนุนแฟนๆ ที่คลั่งไคล้กีฬามีกำลังซื้อสูง ตั้งใจอุดหนุนสินค้าแบรนด์สปอนเซอร์ เป็นโอกาสทองที่แบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าไปทำการตลาดได้
.
ซึ่ง 69% ของคนไทยเน้นด้วยว่า การที่แบรนด์เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับกีฬา สามารถดึงดูดความสนใจแบรนด์ได้เพิ่มขึ้น และ 61% จะซื้อและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่เป็นสปอนเซอร์กีฬามากกว่าซื้อแบรนด์คู่แข่ง หากราคาและคุณภาพเท่ากัน
.
9. การแก้ปัญหากลุ่มเป้าหมายที่ยากขึ้น ด้วย Data และการวัดผล
ด้วยความที่สื่อมีการกระจายตัวมากขึ้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจึงทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางดิจิทัล จากการสำรวจพบว่า 37% ของเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลที่แบรนด์ลงทุนไปนั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะโฆษณาไปไม่ถึงกลุ่มลูกค้าที่อยากทาร์เก็ต (Off-Target)
.
ซึ่งปี 2023 Data ยังเป็นสิ่งที่สำคัญในการหา Right Audience หรือกลุ่มทาร์เก็ตลูกค้า และแบรนด์จำเป็นต้องมีการวัดผลเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และสามารถประเมินกับสิ่งที่ลงทุนไป
.
10. ความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญ
คนไทยหวงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยมีเพียง 19% ของคนไทยที่อนุญาตให้ทุกเว็บไซต์หรือแอปติดตามพฤติกรรมของพวกเขาบนโลกออนไลน์ โดย 57% อนุญาตให้บางเว็บหรือแอปเท่านั้นที่ติดตามได้
.
กลุ่มที่หวงความเป็นส่วนตัวสูงสุด คือกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม Gen Z สิ่งที่จะตามมาคือการยิงโฆษณาที่ยากขึ้น เพราะขาดความแม่นยำหรือยิงไม่โดนกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์ต้องลงเงินมากขึ้น และผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะไม่ได้ตรงตามที่ต้องการ
.
ความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล ส่วนใหญ่กังวลว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้อย่างไร นักการตลาดจึงจำเป็นต้องหาทางระบุวิธีที่ข้อมูลของผู้บริโภคจะถูกนำไปใช้ ตลอดจนมาตรการที่แบรนด์ใช้เพื่อปกป้องข้อมูลนั้น